'ร.ร.บ้านเนินรัก' ขยายโอกาส ดูแลเด็กยากจนทั้งครอบครัว

'ร.ร.บ้านเนินรัก' ขยายโอกาส ดูแลเด็กยากจนทั้งครอบครัว

“ร.ร.บ้านเนินรัก” ขยายโอกาส ดูแลเด็กยากจนทั้งครอบครัว

“โรงเรียนบ้านเนินรัก จ.เพชรบุรี”นอกจากอบรมสั่งสอน ความรู้แก่นักเรียนแล้ว ยังช่วยเหลือประคับประคองเด็ก 60% จากครอบครัวแตกแยกหรือพ่อแม่เลี้ยงเดียวขาดโอกาส ทุนการศึกษา และความอบอุ่นจากครอบครัว อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง กว่า 40 กิโลเมตร ทว่าครู 10 คน ก็สามารถดูแลนักเรียนอนุบาล-ประถมศึกษาได้เป็นอย่างดี

"พัชรินทร์ เนื่องอัน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเนินรัก" เล่าว่าเมื่อแรกก่อตั้งปี 2517 โรงเรียนแห่งนี้ มีนักเรียน 20 คน ใช้อาคารชั่วคราว มุงหญ้าคาโดยชาวบ้านและคณะกรรมการโรงเรียนสร้างให้ ปี 2546 ย้ายไปสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรีเขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ .2546 มีอาคารเรียน ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการต่างๆ ห้องธนาคารโรงเรียน สหกรณ์โรงเรียน อาคารอเนกประสงค์ หอประชุม สนามเด็กเล็ก สนามฟุตบอล บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่

“หน้าที่ของครูต้องจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน วิชาการเด็กทุกคนต้องอ่านออกเขียนได้ กิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มความรู้ ส่งเสริมอาชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เติมทักษะอาชีพ สร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กทุกคน มีการตรวจเยี่ยมนักเรียนที่บ้าน พบว่าครอบครัวของเด็กส่วนใหญ่มีฐานะยากจนมาก และมีปัญหาครอบครัวแตกแยก หย่าร้างสูง”

13_26

ด้วยความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาให้เจริญงอกงามด้วยการศึกษา และเคารพในคุณค่าของความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ด้วยข้อจำกัดในหลายเรื่อง จึงพยายามมองหาหน่วยงาน องค์กรมาสนับสนุนการจัดการศึกษา กิจกรรมต่างๆ จากหน่วยงานภายนอก อาทิ เงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพิ่มโอกาสแก่เด็กยากจน และต่อยอดให้นักเรียนฝึกทักษะอาชีพ

พัฒนาทำน้ำยาล้างจาน ส่งขายในสหกรณ์โรงเรียนสร้างรายได้เสริมเป็นเงินเก็บสำหรับนักเรียน เงินทุกบาทจากการทำกิจกรรมจะถูกนำไปฝากเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อเป็นทุนสำหรับเด็กหลังจบการศึกษา หรือได้รับมอบทุนการศึกษาจากภาคเอกชน อย่าง บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน)ในโครงการเอสโซ่ ปันน้ำใจ พาน้องกลับห้องเรียนให้กับนักเรียนยากจนพิเศษในโรงเรียน เป็นต้น

ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเนินรัก บอกว่า หน้าที่ของโรงเรียนไม่ใช่ให้ความรู้เท่านั้น แต่ต้องฝึกทักษะอาชีพ เช่น พับผ้ารูปสัตว์ ทำยาหม่อง ทำน้ำยาล้างจาน ฯลฯ และมองหาทุนดีๆ ให้แก่เด็ก เพราะกิจกรรมอาชีพช่วยสร้างรายได้ให้แก่เด็ก ปลูกฝังทักษะด้านอื่นๆ ให้แก่เด็กรู้จักหน้าที่ ซื่อสัตย์ มีวินัย ถึงแม้เงินที่นำไปพัฒนาทักษะอาชีพจะไม่มากแต่ไม่สูญเปล่า ขณะนี้มีนักเรียนได้ทุนจากกองทุน กสศ.จำนวนหนึ่ง และอยู่ระหว่างกำลังขอรับทุนเพิ่มเติม โดยทุนการศึกษาทุกทุนล้วนเติมเต็มคุณภาพชีวิต การใช้ชีวิตและแบ่งเบาภาระครอบครัวของเด็กๆได้ กองทุนแบบนี้ควรมีตลอดไป เพราะช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้แก่เด็กได้อย่างแท้จริง

11_48

ทุกครอบครัวอยากให้ลูกหลานได้รับสิ่งดีๆ แต่ด้วยหน้าที่การงาน รายได้อาจไม่สามารถเติมเต็มให้ลูกหลานได้ สมยาย ย้อมศรี คุณยายของน้องบีม -กมลชนก ทองเปี่ยม อายุ 8 ปี นักเรียนชั้นป.2 ที่เลี้ยงน้องบีม มาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่เขาแยกทางกัน แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ที่ผ่านมาก็กังวลว่าจะไม่มีเงินทุนการศึกษาให้แก่เขาได้เรียนตามความฝัน เพราะการศึกษาเป็นเสมือนสมบัติติดตัวเขา ทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี เลี้ยงดูตนเองได้ จึงพยายามสอนให้น้องตั้งใจเรียนหนังสือ ดูแลตัวเอง ช่วยเหลือแบ่งเบางานที่บ้าน และน้องบีมไม่ทำให้ผิดหวังเป็นเด็กดี เรียนได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มาตลอด

“น้องอยากเป็นครู ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหนมาเลี้ยงน้อง เพราะเงินที่หามาได้เพียงใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ไม่มีเงินเก็บให้น้องในอนาคต พอมีเงินจากกองทุน กสศ. และความช่วยเหลือจากครู ถึงจะเป็นเงินไม่มาก แต่เป็นทุนการศึกษา แบ่งเบาภาระของครอบครัวเด็กได้จริง อยากให้มีกองทุน กสศ. และทุนการศึกษาสำหรับเด็กยากจน เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กยากจนได้เรียนหนังสือ มีอนาคตที่ดี”

น้องบีม เล่าว่าได้รับเงินทุนการศึกษา กสศ.มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นทุนแรกในชีวิตที่ได้รับ และได้นำมาใช้ประโยชน์ทั้งด้านการศึกษา เป็นเงินออม และช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน ซึ่งที่บ้านอาศัยรวมกัน 7 คน รายได้ส่วนใหญ่มาจากยายและตา ส่วนแม่ส่งมาให้เพียงเดือนละ 1,000-1,500 บาท ซึ่งไม่พอใช้ เมื่อได้เงินจากกสศ. ทำให้มีเงินค่าขนมไปโรงเรียน ซื้ออุปกรณ์การเรียน ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเป็นทุนการศึกษาในอนาคตได้ ขอขอบคุณทางกองทุนกสศ. และทุกหน่วยงานที่ช่วยสนับสนุน เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก

12_26

เช่นเดียวกับน้องจิม -.ปกรณ์เกียรติ แก้วจินดา อายุ 6 ปี นักเรียนชั้นป.1 ที่อาศัยอยู่กับแม่และพี่ชายในบ้านหลังคาสังกะสี ซึ่งแม่ทำงานรับจ้างต้มหมูได้เงินวันละ 300-350 บาท และเป็นโรคฮีทสโตรกทำให้ไม่สามารถทำงานต้มหมูที่อยู่หน้าเตาได้ตลอดทั้งวัน ต้องทำงานตำแหน่งอื่น รายได้ก็น้อยลง ทำให้เงินไม่พอใช้ต้องออกมาเก็บขยะขาย จนป่วยเป็นโรคผิวหนัง บางวันน้องไม่มีเงินไปโรงเรียน ทำให้ขาดเรียนบ่อย เรียนไม่ทันเพื่อน จนขณะนี้แม้แต่ชื่อน้องก็ยังไม่สามารถเขียนได้

“แม่จะให้เงินมาโรงเรียนวันละ 20 บาท แต่บางวันไม่มีเงินมาโรงเรียน หรือฝนตกก็ไม่ได้มาโรงเรียน ซึ่งถ้าได้เงินจากกองทุนกสศ.จะช่วยทำให้แม่ได้มีเงินไปใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นทุนการศึกษา จะได้มาเรียนมากขึ้น มีความรู้ได้ทำตามความฝันในการเป็นทหารของผมในอนาคตได้ อยากขอบคุณทาง กสศ.มากที่มาให้ทุนการศึกษาแก่ผม”

มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาให้เจริญงอกงามด้วยการศึกษา เพราะการศึกษาเป็นเสมือนสมบัติล้ำค่า หากใครเข้่าถึงและได้รับการศึกษา จะเป็นสมบัติที่ติดตัวไป เติบใหญ่ขึ้นมา ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เลี้ยงดูตนเองได้ในอนาคต