ลุ้นบวกต่อ

ลุ้นบวกต่อ

SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค

หลังจากสหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไปอีก 1 เดือน ขณะที่นักลงทุนสถาบันเข้าซื้อสุทธิกว่า 3,092.41 ลบ. ส่งผลให้ SET Index ปิดที่ 1,671.75 จุด (+12.55 จุด) Volume 5.7 หมื่นลบ. จาก Foreign Net  -7.98 ลบ. TFEX Net -7,989 สัญญา และ ตลาดตราสารหนี้ -1,171.38 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

+ดาวโจนส์ปิดบวก 60.14 จุด ขานรับสหรัฐเลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีน

+"ทรัมป์"เผยสหรัฐ-จีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า พร้อมลงนามร่วมกับ"สี จิ้นผิง"

+ รองประธานเฟดเผยเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในจุดที่ดี สามารถอดทนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะเงินเฟ้อต่ำ

-น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.78 หลัง"ทรัมป์"กดดันโอเปกระงับขึ้นราคาน้ำมัน

- รัฐบาลอังกฤษเตรียมเผยแพร่บทวิเคราะห์ผลกระทบ Brexit กรณีไม่มีการทำข้อตกลง

+/- Fund Flow ต่างชาติมีสถานะซื้อ  YTD 8.7 พันล้านบาท ค่าเงินบาท 31.25 บาท/US **จับตาประธานเฟดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสสัปดาห์นี้

คาดดัชนี SET วันนี้มีโอกาสเดินหน้าต่อขานรับข่าวดีสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่มีแนวโน้มคลี่คลาย โดยมีปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันที่ปิดร่วงลง  คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,667-1,680 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

  • FTSE Large Cap : HMPRO GULF EA MINT MAKRO BEM DIF
  • FTSE Mid Cap : MTC GPSC

        * HMPRO MTC มีผลตอบแทน YTD น้อยกว่าดัชนี

  • หุ้นได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง : VGI PLANB MACO CPALL MAKRO BJC TKS
  • ขยายเวลา Visa On Arrival : AOT  CENTEL ERW
  • High Dividend : KAMART SIRI SNC ORI DIF BTSGIF SC MC AIT QH KKP TKS

 

หุ้นแนะนำพิเศษ

  • RATCH Analyst Meeting (ราคาปิด 5 Bloomberg 60.13) มุมมองบวก

บริษัทตั้งเป้ากำลังการผลิตสู่ 10,000 MW ภายในปี 2024 โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 6,860 MW และอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้า 585 MW อีกทั้งมีแผนขยายไปยังอีก 6 ธุรกิจ 1)โครงการ Fiber optic 2)ท่าเรือ LNG 3)Motorway 4)โครงการสนามบินอู่ตะเภา 5)รถไฟฟ้าสายต่างๆ และ6)การจำหน่ายน้ำที่ลาว

แผน PDP ฉบับใหม่มีแผนขยายโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิต 1,400 MW ที่ภาคตะวันตกเพื่อส่งไฟฟ้าไปยังภาคใต้ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2023 โดยเรามีมุมมองบวกต่อประเด็นดังกล่าวเนื่องจาก RATCH มีโรงไฟฟ้าในพื้นที่ตะวันตก 4,365 MW อีกทั้งมีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานรวมถึงที่ดินขนาดใหญ่เพื่อรองรับในการสร้างโรงไฟฟ้าและขยายโรงไฟฟ้าในอนาคต ทำให้ RATCH มีความได้เปรียบคู่แข่งในเชิงต้นทุนและเป็น upside ต่อบริษัทในอนาคต

  • SONIC (ราคาปิด 45) รายงานกำไรสุทธิปี 61 ที่ 47 ลบ. ทรงตัวจากปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้ามากขึ้นถึง 20%YoY สู่ 1,182 ลบ. แต่ต้นทุนการให้บริการก็สูงขึ้นเช่นกันราว 21%YoY สู่ 922 ลบ.จากค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปลายปี 60 ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการออกเสนอขายหุ้น IPO ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 4.7% ในปี 60 เหลือ 4%

  • CPN รายงานกำไรสุทธิปี 61 กางเท่ากับ 11,216 ล้านบาท -17% หากไม่รวมรายการพิเศษค่าเช่าที่ดินโครงการเซ็นทรัลพล่าพระราม 2 ที่มีการขยายระยะเวลาการเช่าจำนวน 393 ล้านบาท  มีกำไรปกติ 10,823 ล้านบาท +9% ด้านสินทรัพย์เติบโตสูง 34% ขณะที่หนี้สินรวมเติบโต 54% สูงเช่นกันจากการซื้อกิจการ GLAND ปี 62-63 มีแผนเปิดศูนย์การค้าในประเทศ 2 แห่งย่านสุวรรณภูมิ (3Q62) และจ.อยุธยา (ต้นปี 63) ส่วนโครงการของ GLAND อยู่ระหว่างทบทวน และโครงการ Central I-City ที่จะเปิดในประเทศมาเลเซียราวมี.ค.62

หุ้นมีข่าว   

·         TOP Analyst Meeting (ราคาปิด 74.00 "ทยอยเข้าสะสม" ราคาเหมาะสม 84.00 ) บริษัทเผยมุมมองต่อราคาน้ำมันและราคาผลิตภัณฑ์ 1)มีมุมมองบวกต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากคาดว่าอุปทานจะลดลงจากการลดกำลังการผลิตจากทั้งกลุ่ม OPEC อิหร่าน และ เวเนซูเอลา แม้ว่ากำลังการผลิตจากสหรัฐจะปรับตัวขึ้นก็ตาม ประกอบกับความต้องการน้ำมันยังสามารถเติบโตได้ตามเศรษฐกิจโลก 2)มีมุมมองเชิงลบต่อค่าการกลั่นในปี 62 จากแรงกดดัน Spread Gasoline ที่ปรับตัวลดลงจากอุปทานฝั่งสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด(1Q62) Spread Gasoline ปรับตัวลดลงเหลือ 1.4 $US/bbl (-71%QoQ , -90%YoY)  3)มีมุมมองบวกต่อ Spread พาราไซรีนใน 1H62 ที่ยังทรงตัวในระดับสูงราว 543 $US/bbl (+3%QoQ , +79%YoY) สาเหตุหลักมาจากราคา gasoline ที่เป็นวัตถุดิบหลักปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่า Spread พาราไซรีน จะถูกกดดันในช่วง 2H62 จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นอีกจากทางเอเชียอีก 2.1 MTA เข้ามากดดัน   โดยรวมเรามีมุมมอง Neutral ต่อผลการดำเนินงานในปี 62 ที่คาดจะถูกกดดัน Spread Gasoline และ supply พาราไซรีน ที่เพิ่มขึ้น และเราคาดกำไรสุทธิปี 62 ที่ 12,211 ลบ. +4%YoY

·         +PTTEP มั่นใจราคาก๊าซบงกช-เอราวัณต่ำไม่ทำกำไรหด พร้อมมองหาพันธมิตรร่วมทุนเพิ่ม, เตรียมจัดงบลงทุนโมซัมบิก

·         NOBLE ปันผลพิสดารหุ้นละ 6.90 บาท กูรูชี้บอร์ดปันผลหนัก เพื่อให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ (กิตติ) ที่เคยซื้อหุ้น-ทำเทนเดอร์ฯ นำเงินไปคืนหนี้เงินกู้ทำเทนเดอร์ฯ หรือปันผลทิ้งทวนก่อนขายหุ้นให้รายอื่น คาด “กิตติ” ฟาดเงินปันผลก้อนใหญ่กว่า 1,526 ล้านบาท(ที่มาข่าวหุ้น)

·         + BEM “ปลัดคมนาคม” แย้มแนวทางขยายสัมปทานทางด่วนแลกยุติข้อพิพาท BEM อาจเป็นทางเลือกดีสุดเพื่อลดภาระงบประมาณรัฐ เชื่อขอเงิน TFF มาชำระหนี้แทนไม่ได้ เพราะผิดวัตถุประสงค์จัดตั้งกองทุน(ที่มาข่าวหุ้น)

·         JUBILE (ราคาปิด 15.3 อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการเชิงลบเนื่องจากเติบโตต่ำกว่าคาด) รายงานกำไรปี 61 ที่ 191 ล้านบาท +3.5% YoY แต่ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ 8% โดยรายได้ทั้งปีทรงตัวใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.55 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจาก 43.6% สู่ 44.4% จากผลของการบริหารต้นทุนสินค้าได้ดีขึ้น ด้านค่าใช้ในการขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% สู่ 329 ล้านบาทจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่าที่สาขา ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น 5.3%YoY สู่ 125 ล้านบาทจากการเพิ่มจำนวนพนักงาน ส่งผลให้ปี 61 มีกำไร 191 ล้านบาท +3.5%YoY

·         XO (ราคาปิด 11.7 ซื้อ ราคาเหมาะสม 13.75) รายงานกำไรปี 61 ที่ 222 ล้านบาท +276%YoY (สูงกว่าที่เราคาดไว้ 4%) โดยรายได้เติบโต 21% สู่ 1.14 พันล้านบาทจากการขายสินค้าในกลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มอีกทั้งมีการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจาก 29.5% ในปี 60 สู่ 37.9% ในปี 61 จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงและต้นทุนการผลิตลดลงตามราคาน้ำตาลและกระเทียม นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายพนักงานลดลงหลังย้ายฐานการผลิตจากโรงงานแหลมฉบังไปอมตะซิตี้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายปรับตัวขึ้น 7% สู่ 75 ล้านบาทแต่ค่าใช้จ่ายในการบริหารปรับตัวลง 13% สู่ 125 ล้านบาท เนื่องจากปี 60 มีการรับคืนสินค้า ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 222 ล้านบาท +276%YoY