เส้นทาง 'สนธิ ลิ้มทองกุล' ชีวิต การเมืองและคดีความ?

เส้นทาง 'สนธิ ลิ้มทองกุล' ชีวิต การเมืองและคดีความ?

เส้นทางชีวิต "สนธิ ลิ้มทองกุล" วิถีการทำงาน การเมืองและคดีความ! ก่อนถึงวันพิพากษาศาลฎีกาสั่งจำคุก 20 ปี ไม่รอลงอาญา

ก่อนที่ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ในวัย 68 ปี จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 20 ปี ไม่รอลงอาญา คดีทำรายงานเท็จกู้ธนาคารกรุงไทยกว่าพันล้าน 

น่าสนใจประวัติของเขาทั้งในแง่ชีวิต การทำงาน และนักเคลื่อนไหวทางการการเมือง ซึ่ง "สนธิ" ชื่อเดิมว่า ตั๊บ แซ่ลิ้ม เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่เมืองไหโข่ว เกาะไหหลำ เป็นคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ โดยพ่อแม่ได้เข้ามาตั้งรกรากในไทย อาศัยอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยและต่อมาได้ทำกิจการโรงพิมพ์ และออกหนังสือพิมพ์จีน จำหน่ายให้กับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร

ช่วงปี พ.ศ. 2516 สนธิวัย 26 ปี สมรสกับ "จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล" ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับ 9 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีบุตรคือ จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ผู้บริหารกิจการในเครือผู้จัดการ

- พ.ศ. 2517 สนธิทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย จากนั้นได้ร่วมกับพร (หรือ พอล) สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอสเอกรุ๊ป ออกหนังสือดิฉัน แต่ประสบปัญหาขาดทุน จึงได้ขายกิจการให้กับปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา

อีก10ปีต่อมา (2526) สนธิกลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยการตั้งบริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายเดือน และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์

จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจของผู้จัดการรายสัปดาห์และรายเดือน ทำให้สนธิ นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2533 ต่อมาหุ้น MGR ถูกตลาดหลักทรัพย์แขวนป้ายระงับการซื้อขาย เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท

ช่วงปี 2535 เกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” มีประชาชนเสียชีวิต สนธิได้พิมพ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับพิเศษ ขนาดแท็บลอยด์ออกเผยแพร่ โดยไม่จำหน่ายภายในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นเวลา 3 วัน เพื่อให้ผู้คนได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเรียกร้องให้ออกมาชุมนุม จากนั้นสนธิได้อ้างว่าถูกคุกคามเอาชีวิต จากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จึงได้เดินทางหนีออกนอกประเทศ โดยมีความคิดขั้นว่าจะตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นที่ต่างแดนเพื่อต่อสู้

ต่อมา สนธิได้ส่งมอบการบริหารธุรกิจในเครือผู้จัดการให้กับจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย และเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2543 ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลล้มละลาย

เดือนตุลาคม 2544 จุดเริ่มต้นของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยในขณะนั้น รุ่นน้องของสนธิ ได้เข้าไปทำรายการชื่อ “เมืองไทยรายวัน” ที่โมเดิร์นไนน์ทีวี โดยนำเสนอเป็นรายการความรู้ ข่าวสาร และปกิณกะ จนกระทั่งเกิดปัญหาทางด้านการเงิน ค้างชำระกับทางโมเดิร์นไนน์ทีวี จนในที่สุดรายการก็ถูกถอดออก และรวมเวลาทั้งหมดไปออกอากาศในวันศุกร์แทน

เมษายน 2546 เปลี่ยนชื่อรายการเป็น “เมืองไทยรายสัปดาห์” แต่ก็ยังคงนำเสนอเนื้อหาเดิมแบบเมืองไทยรายวัน จนกระทั่งทาง อสมท. ได้ปรับผังใหม่ เมื่อเดือนตุลาคม 2546 สนธิลงมาเป็นผู้ดำเนินรายการเอง ร่วมกับพิธีกรสาว สโรชา พรอุดมศักดิ์

กระทั่ง เดือนกันยายน 2548 หลังจากที่ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์และถูกฟ้องร้องโดย ทักษิณ ชินวัตร นายกฯในขณะนั้น ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เป็นจำนวนเงินรวม 2,000 ล้านบาท ด้วยข้อหาหมิ่นประมา และดูหมิ่น “สนธิ”ได้จัดรายการของตนเองขึ้นมาใหม่ ในชื่อว่า “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” โดยจัดเป็นเวทีนอกสถานที่ ณ หอประชุมเล็ก และ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสวนลุมพินี ทุกคืนวันศุกร์ โดยเนื้อหาของรายการเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นการกล่าวโจมตีรัฐบาลในขณะนั้น ภายใต้สโลแกน “เราจะสู้เพื่อในหลวง”, “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และ “ขอเป็นยามเฝ้าแผ่นดิน” ทำให้มีผู้สนใจเข้าชมรายการเป็นจำนวนมาก และนักวิจารณ์หลายคนให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายสนธิ ว่า เป็นผลประโยชน์ของประชาชน

การต่อต้านทักษิณ

ในช่วงนี้เอง ได้มีการก่อตัวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือเรียกว่ากลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง เป็นกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญ (ในช่วงพ.ศ. 2548-2552) โดยเป็นการรวมตัวจากหลายองค์กรทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ภายใต้จุดประสงค์ในการขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแสดงความต้องการให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีแกนนำคนสำคัญ ได้แก่ สนธิและพลตรีจำลอง ศรีเมือง

ในช่วงเดือนกันยายน 2549 สนธิและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีกำหนดการที่จะเดินขบวนต่อต้านทักษิณ ในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 แต่ก่อนที่จะมีการเดินขบวน ปรากฏว่ามีข่าวลือว่าจะมีเหตุการณ์นองเลือด ทำให้ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ในขณะที่ทักษิณอยู่ต่างประเทศ เมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น แกนนำพันธมิตรฯจึงประกาศยกเลิกการประท้วงในครั้งนั้น

ถูกลอบยิง

ในวันที่17 เม.ย. 2552 เวลาประมาณ 05.45 น. ขณะที่สนธิกำลังเดินทางโดยรถส่วนตัว โตโยต้า เวลไฟร์ ไปยังสถานีโทรทัศน์ ASTV เพื่อจัดรายการในตอนเช้าเหมือนปกติ ได้มีกลุ่มคนไม่ทราบจำนวน ขับรถอีซุซุ ดีแม็กซ์2 ประตู สีบรอนซ์ทอง ตามประกบ และได้ใช้อาวุธปืนยิงล้อรถของนายสนธิ ทำให้ยางล้อแตก แล้วใช้อาวุธปืนเอเค 47 เอชเค 33 เอ็ม 16และเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79รัวยิงกระหน่ำเข้าไปในรถของนายสนธิ แล้วขับรถหนีไป โดยใช้ถนนเทเวศร์เจ้าหน้าที่นับปลอกกระสุนปืนได้ 84 นัด และลูกระเบิดเอ็ม 79 ขนาด 40 มม. ที่ยังไม่ระเบิด 1 นัด

สนธิถูกกระสุนบริเวณคิ้ว, หน้าอกและแขน ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลวชิระแต่อาการไม่บาดเจ็บมากนัก ส่วนนายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถได้รับบาดเจ็บสาหัส

ก้าวสู่การเมือง

สนธิได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกพรรค เป็นหัวหน้า “พรรคการเมืองใหม่” เมื่อวันที่6 ตุลาคม 2552 และประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2553 เพื่อกลับมาทำงานภาคประชาชนเช่นเดิม

สนธิพร้อมแกนนำพันธมิตรฯ ยังเคลื่อนไหวต่อต้านจากกลุ่มการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากทักษิณ กรณีรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่พลังกลุ่มมวลชน "เสื้อเหลือง" เริ่มลดถอยตามลำดับ

กระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2557 โดย คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสนธิก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านหรือสนับสนุน

ขณะเดียวกัน หลังจากนั้น สนธิเก็บตัวและลดบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่บรรดาคดีความต่างๆ เริ่มมีคำตัดสินออกมา

คดีความ

- 24 กันยายน 2558 ศาลฎีกายืนจำคุก สนธิกับพวก 6เดือนพร้อมปรับ 5 หมื่น ฐานหมิ่นประมาทตระกูลดามาพงศ์ แต่ให้รอลงอาญา 3 ปี

- 21 ตุลาคม 2558 ศาลฎีกายกฟ้อง สนธิไม่หมิ่นทักษิณ ชี้เป็นการติชมโดยสุจริต

- 2 ธันวาคม 2558 ศาลฎีกาพิพากษา สนธิหมิ่นม.ร.ว.ปรีดิยาธร สั่งลงโทษจำคุก1ปี ให้รอลงอาญา ปรับ3หมื่นบาท เป็นต้น

- 2 มิถุนายน 2559 ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง "สนธิ - เอเอสทีวี" ไม่หมิ่นทักษิณ วิพากษ์ใช้เงินซื้อข้าราชการ-ทำสถาบันฯอ่อนแอ

จนถึงวันพิพากษา ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 20 ปี ไม่รอลงอาญา คดีทำรายงานเท็จกู้ธนาคารกรุงไทยกว่าพันล้าน ในวันนี้!!