แถลงจับหนุ่มโพสต์เฟสบุ๊ค หมิ่นเบื้องสูง

แถลงจับหนุ่มโพสต์เฟสบุ๊ค หมิ่นเบื้องสูง

สันติบาลร่วมกับบก.ปอท.สืบแถลงจับ"ปิยะ จุลกิตติพันธ์"โพสต์เฟสบุ๊ค หมิ่นสถาบัน

ที่กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ส. พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลาผบก.ปอท. พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ ผบก.ส.2 บช.ส.และพ.ต.อ.โยธิน โตสง่า ผกก.3 บก.ปอท. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายปิยะ จุลกิตติพันธ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองศ์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงและสวมบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลอื่น ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท.ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.โยธิน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางปี 2556 ได้มีประชาชนผู้จงรักภักดีต่อสถาบันจำนวนหลายรายเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปอท.ให้ดำเนินคดีกับผู้ใช้บัญชีเฟสบุ๊ค ชื่อ “นายพงศธร

บันทอน” ที่ได้โพสต์รูปภาพเกี่ยวกับสถาบันและมีข้อความหมิ่นสถาบันเผยแพร่ต่อบุคคลทั่วไป ภายหลังจากแนวทางการสอบสวนพบว่าจากการสืบสวนพบว่านายพงศธร บันทอน คือ นายปิยะ จุลกิตติพันธ์ จึงได้ยื่นเรื่องขอออกหมายจับต่อศาลอาญา ตามหมายจับลงวันที่ 30 มิ.ย.57 และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท. ออกสืบสวนติดตามจับกุมตัวตลอดมา จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.00 น.วันนี้ ชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมตัวได้ที่ซอยลาดพร้าว 107 แยก 26 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้โพสข้อความหมิ่นสถาบันจริง และจากการตรวจสอบประวัติพบว่ามีการเปลี่ยนชื่อมาแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2544 นอกจากนี้ ยังพบว่าได้มีพฤติกรรมเป็นบุคคลทุจริตสวมบัตรประชาชนในสมัยที่ใช้ชื่อนายทองจันทร์ บันทอน ที่ อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อนายพงศธร บันทอน และชื่อนายปิยะ จุลกิตติพันธ์

ผกก.3บก.ปอท. กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันโปรแกรมเฟสบุ๊ค ถือเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีคนนิยมใช้มากเป็นลำดับต้นๆ เนื่องจากความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การอัพเดทสถานะปัจจุบัน และการบอกเล่าเรื่องราว ดังนั้นจึงควรมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องไม่นำเข้าหรือเผยแพร่ภาพหรือข้อความที่กระทบต่อสถาบันซึ่งเป็นจุดยึดเหนี่ยวดวงใจของคนไทยทั้งประเทศ และจะต้องไม่นำเข้าหรือเผยแพร่ภาพหรือข้อความที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ หากมีผู้พบเห็นการนำเข้าหรือเผยแพร่ข้อมูลที่มีลักษณะดังกล่าว