กว่าจะเป็น'ทิดเป้'ในวันนี้..สู้ชีวิตและเรียนรู้ทุก'โอกาส'

กว่าจะเป็น'ทิดเป้'ในวันนี้..สู้ชีวิตและเรียนรู้ทุก'โอกาส'

"..ผมไม่รู้หรอกว่าสื่อแท้สื่อเทียมคืออะไร แต่อุดมการณ์ที่ทำตามหน้าที่มีจรรยาบรรณมีรายงานข่าวปกติทั่วไป.."

มุมชีวิตของ "คนข่าวทีวี" ที่มากประสบการณ์ อย่าง "ทิดเป้"อภิวัฒน์ จ่าตาที่ใครได้รู้จักแบบผิวเผิน อาจมองว่าเป็น "นักข่าวมากสีสัน" ทำให้เรามีรอยยิ้มทั้งที่พบเห็นและติดตามชมผ่านจอทีวี

แต่ถ้าลองเข้าไปสัมผัส "ตัวตน" ของเขาแล้ว นับว่าน่าสนใจยิ่ง

เพราะเขาผ่านมาเยอะ! ใน "ยุทธจักรข่าว"

ดังนั้น ต้องทำความรู้จักแบบจริงๆจังๆ กับ "ทิดเป้" คนที่ราบสูงที่ไม่ธรรมดาคนนี้

จากบรรทัดถัดไป..

0 อยากให้พี่เป้ หรือทิดเป้ที่ชาวบ้านร้านตลาดรู้จักช่วยเล่าให้ฟังหน่อยถึงที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นคนทีวีเช่นตอนนี้

ผมชื่ออภิวัฒน์ จ่าตา เกิดวันที่ 27 สิงหาคม 2513 ช่วงเวลา 00.03 นาที วันที่ 27 (พฤหัสบดี) แรม 10 ค่ำ เดือนสิงหาคม(8) ( เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติ ) พุทธศักราช2513 ปีจอ คริสตศักราช 1970

เป็นคนราศีสิงห์ เกิดที่บ้านนาก้านเหลือง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น มีพี่น้อง 5 คน เป็นผู้ชายทั้งบ้าน ผมเป็นคนที่ 4 ของครอบครัว มีพ่อเป็นครูสอนภาษาไทยมีแม่เป็นแม่บ้านครอบครัวที่ถือได้ว่าต่อสู้พอสมควร ชีวิตในวัยเด็กนั้นก็ต้องช่วยพ่อแม่ทำนาและเลี้ยงควาย ด้วยเหตุว่าพี่ชายจะทยอยออกไปเรียนต่อในตัวเมือง จังหวัดขอนแก่น พี่ชายคนโตไปเรียนแล้วก็ไปสอบเป็นตำรวจ ก็ไม่กลับบ้าน พี่ชายคนที่สองไปเรียนต่อด้านศิลปะการออกแบบที่กทม.ไปเรียนก็ไม่กลับบ้าน ได้งานทำในกรุงเทพมหานครพี่ชายคนที่สามไปเรียนก็ไม่กลับบ้านก็ได้ครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

เมื่อมาถึงคิวของตัวเองเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่3 แล้วก็ต้องมาเรียนต่อที่ตัวจังหวัดขอนแก่น ควายที่เลี้ยงไว้ก็ต้องให้น้องชายคนที่ 5ดูแลต่อด้วยความไม่ชำนาญพ่อก็เลยขายควายทั้งหมด ผมก็เลยเป็นคนเลี้ยงควายก่อนเข้ามาเรียนที่ตัวเมืองขอนแก่น มาต่อระดับปวช.ช่างไฟฟ้ากำลังที่โรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนจบปวส.ช่างไฟฟ้ากำลัง ชีวิตช่วงเวลานั้นจบเกรด 2.10 ถือว่ายุคได้เกรดต่ำมากๆ

ในช่วงที่เรียนหนังสือก็ไฝ่รู้ไฝ่เรียนไฝ่เขียนไฝ่อ่าน เพราะพ่อเป็นครูบ้านนอก อย่าหวังว่าจะได้เรียนพิเศษเหมือนชาวบ้านเขาพ่อบอกว่า หนังสือเต็มบ้านอยากรู้ก็ต้องอ่านเอา นั่นแหละครับ หนังสือทุกเล่มจึงต้องอ่านให้หมดเพื่อจะรู้ เรื่องภาษาไทย เรื่องวิชาพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ชอบมาก เพราะไม่มีคำนวณ จะชอบอ่าน ส่วนคณิตศาสตร์พอเอาตัวรอดไปได้ ด้วยความต้องการที่พ่ออยากให้เป็นช่างไฟฟ้าหรือช่างโทรศัพท์ก็ตามใจพ่อแม่จนเรียนจบปวส.หรือชื่อเต็มว่าประโยควิชาชีพชั้นสูง

0 สมัยเป็นเด็กช่างชอบวรรณกรรมเพื่อชีวิต

ช่วงที่เรียนชอบอ่านวรรณกรรมของสุรชัย จันทิมาธร อาทิ ความบ้ามาเยือน, มาจากที่ราบสูง,เดินไปสู่หนไหนข้างถนน ของอาจารย์สมคิด สิงสง อาทิ ข้าวเขียว,คนบนมอ,ลาก่อนนาวังเหล็ก อาจารย์ชาติ กอบจิตติ พันธุ์หมาบ้า (ชอบมาก)อาจารย์ วิทยากร เชียงกุล อาทิ ฉันจึงมาหาความหมาย ถ้าเป็นวรรณกรรมแนวนี้ก็ไฝ่ฝันอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หละครับ คิดว่าตัวเองอยู่ในตัวละครเลยทีเดียว ด้วยความที่ชอบอ่านแนวนี้เยอะ ทำให้ส่งผลภายหลังให้ชอบเขียนหนังสือจนปัจจุบัน

ในช่วงที่เรียนจบมาใหม่ๆไม่คิดอยากจะเรียนต่อเพราะกลัวพ่อไม่มีเงินพ่ออยากให้เรียนวิศวะมากๆ แต่มารู้ภายหลังที่จริงถ้าเรียนต่อ2ปีก็จบปริญญาตรีวิศวะไปแล้ว ในช่วงจบใหม่ๆก็ทำงานตามสาขาที่เรียนมาตามโรงงานเรียนจบก็ลงมาทำงานโรงงานกับเพื่อน อยู่ได้สักพักก็ติดเพื่อนมาทำงานต่อที่ชลบุรี ช่วงที่ทำงานไปนั้นก็รู้จักผู้คนในวงการเพื่อชีวิตมากมายคือคลั่งศิลปินสุรชัย จันทิมาธร หรือหงา คาราวาน วงคาราบาว ปู-พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ หรือซูซู หรือว่าทุกที่ที่มีคอนเสิร์ตกับศิลปินเหล่านี้ถ้ามีโอกาสจะไปดูทันที

ช่วงนั้นถือว่าเพื่อชีวิตมาแรงมากๆ ช่วงที่ทำงานอยู่ชลบุรี ก็เลยนั่งคิดถึงว่าเราทำงานมาแบบนี้จะถูกใจตัวเองหรือเปล่าสุดท้ายลาออกจากงานไปหาพี่ที่รู้จักกันที่จังหวัดเชียงใหม่ บอกว่าเป็นศิลปินชื่อพี่คนผมจะฟูมาก แต่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้วพี่เขาเล่นดนตรีตามผับในเชียงใหม่ เวลามีเล่นที่ไหนก็จะลากเราไปด้วยไปรอจนพี่เขาเล่นจบพี่เขาจะช่วยเสริฟอาหารไปด้วย หลังหลังมาก็จะเป็นเด็กเสริฟ จำได้นะว่าเป็นร้านลุงไม้ไทยที่เชียงใหม่ร้านของพี่ล๊อตปัจจุบันพี่ล๊อตไปเปิดผับที่ปายแล้ว ช่วงนั้นประมาณ ปี3534 ประมาณนี้แหละรู้จักแม้กระทั่งพี่อ้น ธวัชชัยชูเหมือน เจ้าของเพลงบ้านกลางไพรที่เป็นหนุ่มใต้มาเล่นดนตรีในร้านซี้กันสักพัก

วันหนึ่งเลยนั่งคิดว่าเราเรียนจบไฟฟ้ากำลัง จะมานั่งเฝ้าผับทำไม ไม่มีอนาคตเพราะเราไม่ใช่เจ้าของร้าน กลับบ้านดีกว่า ช่วงนั้นก็เลยเดินทางกลับบ้านขอนแก่น ไปสมัครงานที่บริษัทโตโยต้าขอนแก่น และก็ไปเป็นพนักงานอยู่ที่นั่นประมาณ 1ปี ชีวิตเวลานั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่มาก ก็คิดอ่านตามประสาวัยรุ่น พ่อแม่ดีใจมากที่ลูกกลับมาอยู่บ้าน ถึงขนาดมาซื้อบ้านให้หนึ่งหลังเลยทีเดียว เป็นบ้านทาวเฮาท์ชั้นเดียว หวังว่าลุกจะอยู่ยาวนาน ช่วงเวลานั้นเดือนพฤษภาทมิฬที่จังหวัดขอนแก่นก็มีชุมนุมเรียกร้องเช่นกัน ช่วงนั้นศิลปินเพื่อชีวิตเดินทางไปเล่นที่จังหวัดขอนแก่นเยอะมากมากๆ ถือได้ว่าเราก็มีอารมณ์คล้อยตามเราอ่านหนังสือมาเยอะอะครับ แต่เราทำงานอยู่มันไม่เหมาะตกเย็นก็ไปร่วม ไปนั่งเป็นผู้ฟังที่ดี คิดไปเรื่อยๆต่างๆนานา

พอสักพักนั่งคิดว่าเราทำงานช่างไม่ค่อยรุ่งไปช่วยพ่อแม่ทำนาที่บ้านดีกว่าไหม พอคิดได้อย่างนั้นก็ลาออกจากงาน โอ้โหพอลาออกจากงานไม่มีเพื่อนคนไหนอยากคุยคบหาสมาคมเลยครับ พอกลับไปที่บ้านพ่อบอกทำนาได้อย่างไรทำเป็นเหรอ ไม่เป็นไรพ่อเลี้ยงได้ อยู่บ้านเฉยๆก็แล้วกันเชื่อหรือไม่ครับนอนให้พ่อแม่เลี้ยงแบบไม่ทำงานอยู่ 6 เดือน ประสาทแดก อายพ่อแม่มากๆ คิดได้อย่างนั้นไปหาสมัครงานดีกว่า ปลายปี2535 พอดีครับ มีนัดพบแรงงานที่จังหวัดขอนแก่น วันนั้นมีบริษัทที่มารับสมัครถึงที่ และก็เขานัดสัมภาษณ์ที่โรงงานกระดาษในอำเภอพนมสารคาม จังหวัดปราจีนบุรี วันสมัครก็ดันเจอเพื่อนอีกคนที่จบด้วยกันมาเขาก็นัดไปสัมภาษณ์วันเดียวกัน

0 ลุกขึ้นสู้ครั้งใหม่

เราเลยตกลงกันว่าจะเดินทางไปพร้อมกัน วันสัมภาษณ์มาถึงใจพร้อมกายพร้อมใบผ่านงานเพียบ เพื่อนอีกคนประสบการณ์ยังไม่มีแต่ก็เพื่อนกันถึงไหนถึงกัน หลังจากถูกสัมภาษณ์จากผู้บริหารในบริษัทแห่งนั้น ช่วงบ่ายมีประกาศผล ผลปรากฏว่าผมไม่ได้งาน แต่เพื่อนได้ทำงาน เพื่อนบอกว่าจะกลับไปเก็บเสื้อผ้าที่จังหวัดขอนแก่น ส่วนผมหลังจากประกาศผล งงเป็นไก่ตาแตก สับสน รอยยิ้มของเพื่อนกดดัน ผมนั่งคิดจะไปไหนดี ที่สถานีขนส่งอำเภอพนมสารคาม การจากกันและการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเริ่มขึ้น แต่ดันมาลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงในคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาสื่อสารมวลชน เรียนไปเรียน แปดปียังเรียนไม่จบถอยดีกว่าครับผม

หลังจากที่เข้าสู่งานเบื้องหลังการทำนิตยสาร รับหน้าที่เป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ ทำอาร์ตเวิร์ค ที่รอรับคำสิ่งจากลูกค้า การปิดเล่มแต่ละครั้งประมาณ 500หน้า จะต้องทำอาร์ตเวิร์คเสร็จภายใน 5 วัน และต้องส่งกระบวนการยิงเพรส แล้วตรวจปรุ๊ฟ เกือบ 60 ยก แต่ละยกมี 8หน้า ทุกเดือนต้องทำอาร์ตเวริ์คจนเกิดความเคยชิน ช่วงที่ว่างจากทำอาร์ตเวริ์ค ก็จะช่วยพี่พี่ช่างภาพ ไปถ่ายแบบเป็นลุกมือ ถือรีเฟค กระทำจนเกิดเคยชิน ก็รู้มุมกล้องต่างๆจากพี่ๆครูพักลักจำ เพราะว่าต้องนำมาใช้กับการทำอาร์ตเวิร์ค พี่ๆเขาก็สอนบ้าง เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ บางวันก็มีโอกาสเปลี่ยนฉาก ฉากไหนเสื้อจม ฉากไหนเข้ากับลายเสื้อ บางวันเลิกจากงานประจำก็อยู่เป็นลูกมือจนดึกดื่น สนุกกับงานมากๆ

นอกจากนี้ยังช่วยหาพร๊อพมาตกแต่งการจัดฉาก ช่วงทำปกก็เป็นลูกมือ การได้เดินทางออกนอกพื้นที่เพื่อไปถ่ายเอาท์ดอร์ถือว่าคุ้มค่าที่สุด ด้วยเหตุนี้ก็เริ่มเล่นกล้องฟิล์ม มีกล้องแคนนอน ฟิล์มรุ่นAE-1 ช่วงนั้นใครมีกล้องถือว่าเท่ห์ระเบิด ถ่ายงานถือว่าได้เปรียบ ยิ่งใครถ่ายฟิล์มสไลด์ได้ไม่ธรรมดา ก็ถือได้ว่ารับงานนอกเลยทีเดียว ภายในนิตยสารที่ทำชื่อว่านิตยสารท๊อปแฟชั่น ท้ายของแฟชั่นจะมีเนื้อหาคอลัมน์หลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องจากปก จนถึงสารคดี ปกิณกะทั่วไป มีหมด วิจารณ์ภาพยนตร์ วิจารณ์เพลงก็มีคอลัมนิสต์ส่งต้นฉบับมา ใครยังไม่ส่งผมก็ต้องโทรตาม รับผิดชอบกองบรรณาธิการหนังสือไปด้วยอีกหน้าที่หนึ่ง วันหนึ่งพี่ที่เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเพลงติดธุระที่ต่างจังหวัด โทรศัพท์มาสั่งงานให้ผมเอาปกเทปมาวิจารณ์ 2 ปก ผมบอกพี่เขาว่าทำไม่เป็น พี่เขาบอกว่าก็ชอบเพลงอะไร ก็วิจารณ์ไป วิจารณ์เนื้อหาผู้แต่ง ค่ายเพลง ไปเรื่อยๆ จากครั้งที่1 ก็มีครั้งที่2 จนสุดท้ายก็เลยได้เขียนประจำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของงานเขียนข่าว

0 จุดเริ่มในการทำงานข่าวจริงๆจังๆ

ในช่วงปี 2537 ชีวิตถือได้ว่ากำลังเข้าที่ งานเริ่มมีขึ้น เริ่มรู้จักผู้คนในแวดวงการข่าวบันเทิงมากขึ้น ช่วงนั้นลงเรียน ปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงคณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน ได้2 ปี ก็ได้รู้โครงสร้างของข่าวว่าต้องทำอย่างไร ช่วงงานเขียนเพลงเริ่มบูมก็มีงานเพิ่มขึ้น ก็แอบเขียนงานให้กับสื่ออื่นหลายสำนัก จนวันหนึ่งงานแฟชั่นเริ่มน้อยลง แต่การสั่งสมแวดวงบันเทิงมากขึ้น ก็มีโอกาสได้มาเป็นบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์บันเทิงสุดสัปดาห์ รับผิดชอบหน้าเพลง หน้าการศึกษา หน้าการท่องเที่ยว และเรื่องดารา ถือว่าถ้าใครรู้เรื่องลึกของดาราก็จะเกิดการยอมรับในสังคมข่าวบันเทิง ช่วงนั้นถือว่ามาแรงเหมือนกัน ทำข่าวอะไรก็ฮือฮา มีวันหนึ่ง ไปถ่ายภาพดาราดังควงกันไปเที่ยวเกาะช้าง

ผมถ่ายภาพมาได้ ก็เป็นภาพดาราไปสวีทกันที่เกาะช้าง งานนี้กล่าวขานว่าเป็นปาปาราซี่เมืองไทยเลยทีเดียว สมัยนั้นกล้องดิจิตอลยังไม่มี ถ้าใครถ่ายได้จึงไม่ธรรมดา ดังไม่ดังถึงขนาดว่า ไปออกรายการเจาะใจ ออกรายการสบายสไตล์มยุรา ช่วงนั้นถือว่าดังนะครับถ้าได้ออกทีวี นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้เป็นตัวประกอบละครเอกซ์ตร้า ในเรื่องดาวคนละดวง ในช่อง7 สีแค่เล่น ฉากเดียวไม่ถึง 30 วินาที คนรู้จักทั้งเมือง มีอีกครั้งหนึ่งเล่นตัวประกอบละครเอกซ์ตร้า เรื่องทอง 5 บทนักข่าวแค่ถามว่า “ท่านครับทองอยู่ไหน”เพื่อนฝูงโทรมาถามว่าไปเล่นได้อย่างไร ช่วงนั้นทุกคนรู้ว่าเป็นนักข่าว ก็ถือว่าให้เกียรติพอสมควร มีครั้งหนึ่งได้ไปแข่งขันแฟนพันธุ์แท้ ช่อง 5 ตอนแฟนพันธุ์แท้เพลงเพื่อชีวิต นั่นก็ไม่ธรรมดาจริงๆ การได้รู้จักผู้คนในแวดวงการข่าว สังคม การศึกษา การท่องเที่ยว ถือว่าช่วงนั้นมาแรงได้รับการกล่าวขาน ไอ้เป้ในวงการบันเทิงมีคนรู้จักจำนวนมาก

ช่วงเวลานั้นก็ยังเป็นบรรณาธิการข่าวบันเทิงวันหยุดรายสัปดาห์อยู่นะครับ ช่วงเวลานั้นมีพี่ที่เคารพที่นสพ.ไทยรัฐชื่อพี่จุ๊โทรมาหาว่าสนใจจะทำทีวีหรือเปล่าประมาณปี 2546 ผมก็คิดอยู่นานสองนานเพราะไม่เคยทำพี่เขาบอกว่าเรียนรู้แป๊ปเดียวก็เป็น งานนี้ตัดสินใจเข้าร่วมการเป็นคนทีวี ช่วงที่รับปากก็มีช่วยรายการตาถึงทางช่อง 5 และรายการพรมสีแดงที่ผมช่วยพี่จุ๊อยู่ครับ มีวันหนึ่งมีพี่ชื่อเอก โทรมาหาพี่จุ๊ว่าให้หาบรรณาธิการข่าวบันเทิงให้ด้วยจะทำรายการ เป็นข่าว ทางช่อง5 ที่มีพิธีกรชื่อเอิ๊ก พรหมพร ยูวะเวส และฮาร์ท สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล ช่วงนั้นทำป้องรายการประมาณ 10 นาที จากจุดเริ่มต้นนั้นผมก็มีโอกาสจับพลัดจับผลูมาในรายการปาท่องโก๋โซไซตี้ ทางไอทีวี และกลายเป็นขวัญใจคู่ใหม่ของไอทีวี ในช่วงเช้า

ช่วงนั้นผมก็เป็นบรรณาธิการข่าวบันเทิง และเป็นตัวช่วยในช่วงไฮโซชวนชิม กับคุณดารุณี กฤตบุญาลัย รับบทเป็นผู้ช่วยพาไปชิมอาหาร ช่วงนั้นถือว่าได้เรียนรู้ทีวีแบบจริงก็รายการนี้แหละครับ จากบทที่เป็นบรรณาธิการข่าวบันเทิงในรายการ อีกบทหนึ่งก็เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ด้วย มันส์มากครับ ช่วงเวลานั้นเรียนการเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงถือว่าจบสิ้นเพราะว่าไม่ไปต่อสภาพการเป็นนักศึกษาเลยขาดการเป็นนักศึกษาในที่สุดแต่ยังไปลงทะเบียนเรียนคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชแต่ลงไว้สักพักก็เรียนไม่จบ

0 ก้าวสู่วงการข่าวทีวี

หลังจากที่ทำรายการปาท่องโก๋โซไซตี้สักพักจนรายการหยุดผมก็กลับไปช่วยเขียนหนังสือกับเจ้านายเก่าสักพักครับ ด้วยเริ่มคุ้นเคยกับการทำทีวีแล้วก็ติดใจ ช่วงประมาณปี 2548 พรรคพวกที่ทำรายการทีวีก็พากันทำรายการข่าวอยู่ที่ยูบีซี 9 งานนี้ร่วมแจมไปด้วยก็รับหน้าเป็นโปรดิวเซอร์ฝ่ายข่าว พอถึงปี 2549 ก็ไปช่วยทำข่าวกับสำนักข่าวรีพอตเตอร์ และMV1และก็ไปลงเรียนมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครในสาขาบริหารธุรกิจเรียนภาคค่ำ เรียนไปเรียนมาอยู่ดีๆ ปี 2549 มีการรัฐประหารเกิดขึ้น

บริษัทปิด ทุกอย่างก็จบสิ้นไปด้วยเพราะไม่มีเงินเรียน ก็เลยดรอปการเรียนเอาไว้ ช่วงนั้นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมกำลังเริ่มบูมหลังจากมีสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมASTV มีนายทุนหลายกลุ่มเริ่มสร้างสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมขึ้น ผมก็ได้ไปเป็นบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์สตาร์แชลแนล วงการบันเทิงยุคนั้นรู้จักเป็นอย่างดี แต่ว่าเวลานั้นสปอนเซอร์ยังไม่เยอะเท่าไหร่สุดท้ายปิดตัวลง ช่วงเวลานั้นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีทีวีเปิดตัวก็ได้ไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายรายการ ก็ออกแบบหลายรายการ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นการเมือง ซึ่งช่วงนั้นการเมืองหลังรัฐประหารกำลังมาแรง ทำไปสักพัก บรรณาธิการบริหารเขาลาออก ผมก็เลยมีโอกาสได้ไปเป็นบรรณาธิการบริหารในสถานีโทรทัศน์พีทีวี ถือว่าชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นก้าวกระโดดเพราะจากนักข่าวบันเทิงได้มาเป็นนักข่าวการเมืองแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

0 ประสบการณ์ในสื่อทีวีสีเข้ม

ท่ามกลางกระแสสื่อแท้สื่อเทียมในวงการข่าว ผมไม่รู้หรอกว่าสื่อแท้สื่อเทียมคืออะไร แต่อุดมการณ์ที่ทำตามหน้าที่มีจรรยาบรรณมีรายงานข่าวปกติทั่วไปเกาะติดสถานการณ์ทุกอย่างเช่นกัน ช่วงที่อยู่สถานีโทรทัศน์พีทีวี วันหนึ่งผมไปเจอคุณแมน –วทัญญู มุ่งหมาย เป็นดาราชื่อดังและบทบาทหนึ่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิเทศศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกริก ถามผมว่าจะเรียนหนังสือไหมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเกริกหรือเปล่า ผมก็ตอบไปว่าผมดร็อปไว้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จะเรียนต่อได้หรือไม่ คุณแมนเลยบอกว่าได้ ผมจึงไปทำเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของปริญญาตรีใน 2550 ช่วงเวลานั้นถือว่าการเรียนก็ควบคู่การทำงาน จนวันหนึ่งต้องลาออกจากสถานีโทรทัศน์พีทีวี ไปอยู่ที่บริษัทมีเดีย สตูดิโอในช่วงต้นปี 2551 ทีมนี้จะมีที่มาจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเป็นหลัก

ครั้งแรกนั้นก็มาทำรายการเจาะเกาะติด รายการนี้ออกอากาศทางช่อง7สี ผมก็มีส่วนเกี่ยวข้องครั้งแรกเป็นโปรดิวเซอร์ข่าวต่างประเทศให้คุณชิบ จิตนิยม หลังจากที่พี่ชิบลาออกไป ชีวิตก็เปลี่ยน เมื่อผู้อำนวยการฝ่ายข่าวคุณสมชัย ศรีสุนาครัว อยากได้นักข่าวชาวบ้าน ก็เลยเลือกทิดเป้ มาร่วมด้วย ชื่อคำว่า ทิดเป้ มาจากคุณสมชัย ศรีสุนาครัวตั้งให้นะครับ

0 แจ้งเกิดทิดเป้

ช่วงทิดเป้จะอยู่ในช่วงตะลุยทั่วไทย แค่มีตัวการ์ตูนและเสียงพากย์ก็คือเสียงของผมเอง หลังจากนั้นไม่นานก็มีรายการประเด็นเด็ดเจ็ดสี ที่บริษัทมีเดียสตูดิโอทำ ก็ทำงานเบื้องหลังช่วยทีม ถือว่ารายการข่าวที่ฮือฮาเวลานั้นก็สองรายการนี่แหละครับ จนผู้ใหญ่ให้ผลิตรายการเช้านี้ที่หมอชิต งานนี้ผู้ใหญ่ในยุคนั้นบอกว่า ทิดเป้น่าจะมาช่วยชาวบ้านในข่าวเช้า งานนี้ถึงได้เปิดตัวทิดเป้แบบเต็มๆ ใช้ชื่อว่า ทิดเป้ อย่างนี้ก็มีด้วย ผู้ที่ตั้งชื่อคำว่าอย่างนี้ก็มีด้วย คือคุณสุภาพชาย บุตรจันทร์ รองผู้จัดการฝ่ายข่าวช่อง7สี ในช่วงนั้นรูปแบบของทิดเป้ อย่างนี้ก็มีด้วย จะเป็นการรายงานเรื่องแปลกๆทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ก็มีวิถีชีวิตชาวบ้านเข้าไปด้วย รวมไปถึงประเพณีวัฒนธรรม อาชีพชาวบ้านรวมไปถึงสินค้าโอทอปประมาณว่าชาวบ้านอยู่ไหนก็จะเข้าร่วมหมด

กลุ่มเป้าหมายที่ดูทิดเป้ช่วงเวลานั้นนะครับก็จะเป็นเด็กอายุ6-18 ปี และผู้ใหญ่ อายุ30-60 ปี ไปที่ไหนก็สนุกสนานเลยทีเดียว ทำอยู่สักพักถือว่าได้รับการยอมรับประมาณว่า6โมง สี่สิบนาทีถ้าเด็กๆได้ยินเสียงทิดเป้ แสดงว่าเด็กตื่นสายไปโรงเรียนสาย คาแรกเตอร์ทิดเป้ก็จะมีผ้าขาวม้าคล้องคอไปทั่วไทย ไปที่ไหนชาวบ้านก็จะเอาผ้าขาวม้าให้เป็นของฝากเลยทีเดียว

หน้าที่เวลานั้นก็เป็นโปรดิวเซอร์ข่าวของรายการข่าวเช้านี้ที่หมอชิตด้วยครับ ต้องตื่นตีสี่เพื่อทำงานข่าวไปออกอากาศให้ผู้ประกาศข่าวอ่านในเวลา 6.00 ซึ่งออกอากาศจันทร์ถึงศุกร์ ช่วงนั้นการเรียนก็คืบหน้าไปเยอะครับ การเรียนเรียนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์สาขาวิชาสื่อสารการเมืองบูรณาการ ได้รู้วิธีการเขียนข่าวจากหลากหลายคณาจารย์ อาทิ รศ.ดร.สมควร กวียะ อดีตคณบดี คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และท่านมาเป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริกด้วย ซึ่งท่านได้รับการยกย่องเป็นนักทฤษฎีสื่อสารมวลชนของไทย อาจารย์ปรีชา พันธ์แน่น อาจารย์มุทิตา อารยะเศรษฐการ อาจารย์บุญเลิศ ช้างใหญ่ ถือว่างานวิชาการก็แน่นพอสมควร

0 ไม่ทิ้งการเรียนด้วยการก้าวสู่มหาบัณฑิต

หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีแล้วก็ไม่หยุดนิ่งหละครับก็เลยลงเรียนปริญญาโทต่อในวิทยาลัยสื่อสารการเมือง คณะรัฐศาสตร์สาขาสื่อสารการเมือง โดยมีดร.นันทนา นันทวโรภาสเป็นคณบดีและมีศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน เป็นผู้อำนวยการหลักสูตร การได้มาเรียนปริญาโท ถือว่าคุ้มค่า เราได้รู้โลกกว้างว่ามีอะไรอีกเยอะ เพราะว่าคณาจารย์ที่สอนมีแต่ระดับประเทศอาทิศ.ดร.ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ รศ.ดรสุรชาติ บำรุงสุข รศ.ดร.โคริน เฟื่องเกษม รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา เจ้าพ่อโพสต์โมเดิร์นหรือจะเป็นดร.ขจร ฝ้ายเทศ

การได้มาเรียนปริญญาโทของวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ผมได้มุมมองใหม่เยอะครับ ต้องขอขอบคุณที่บังเอิญบริษัทมีเดียสตูดิโอ จำกัดเปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม แล้วมีรายการหมอชิตสุดสัปดาห์ ออกอากาศวันเสาร์กับอาทิตย์เราต้องเข้าเวรเช้าและมาอ่านข่าวเอง มาถึงออฟฟิตเพื่อจะเตรียมข่าวให้ผู้ประกาศอ่านประมาณวันละ 24 ชิ้นข่าว ต้องเสร็จภายในตีห้าครึ่ง เสร็จจากนั้นผมต้องไปแต่งหน้าเพื่อร่วมอ่านข่าวด้วย เพราะรายการออกอากาศสดทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 6.00- 8.00 เสร็จรายการจะไปไหนหละ เดี๋ยวคืนวันเสาร์ก็ต้องมาเข้าเวรอีก เราก็เลยมาสมัครเรียนปริญญาโทในวันเสาร์และอาทิตย์ ประมาณว่าว่างไม่ได้หาอย่างอื่นทำ บ้าพลังครับ ควบคู่กันไปจนจบปริญญาโท

0 เป้าหมาย ดร. อยู่ไม่ไกล

ตอนนี้การเรียนกำลังสนุกก็เลยต่อปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารการเมือง จบคอร์สมา 2 ปีแล้วครับขณะนี้ก็ทำวิจัยอยู่คาดว่าปีนี้น่าจะจบอย่างเต็มตัว ช่วงทั้งเรียนและทำงาน ทิดเป้ อย่างนี้ก็มีด้วยถือได้ว่าเป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้วนะครับ ก็เป็นวิทยากรให้ตามมหาวิทยาลัย บทบาทหนึ่งก็เป็นอาจารย์ ผมว่าประสบการณ์ของเราไม่เหมือนใครก็เลยมีคนเชิญให้เป็นวิทยากรเยอะครับ ก็ขอขอบคุณการศึกษาที่ทำให้ผมมองโลกไปอีกแบบหนึ่ง มองบวกมากขึ้น ได้คิดมากขึ้น ช่วยสังคมมากขึ้น ชีวิตมีการวางแผนมากขึ้น

0 สรุปจากเด็กหนุ่มตจว.สู้ชีวิตในเมืองกรุงเป็นอย่างไร

ประสบการณ์การเข้ามาอยู่เมืองกรุงมันรวดเร็วมาก มากจนปรับตัวไม่ทัน ช่วงเวลาที่ได้เข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ กรุงเทพอลังการมาก เดินทางไปไหนก็กลัวหลงทาง นั่งรถเมล์นี่ห้ามหลับเลยนะครับเดี๋ยวเลยป้ายจะวุ่นกลับมาไม่ได้ ต้องจำพิกัดเป้าหมายที่จะลงให้ถูก เริ่มต้นวันเสาร์หรืออาทิตย์ช่วงเวลาวันหยุดก็จะซ้อมนั่งรถเมล์สายยาว เมื่อก่อนทำงานอยู่สะพานควาย แต่พักอยู่แถวแยกลำสาลี จะต้องรู้ว่ารถเมล์สายไหนวิ่งผ่าน อย่างสาย 92ผูกขาดเลยหละครับ เราไม่ได้มีเงินเดือนเยอะจะต้องนั่งแท็กซี่ รถเมล์ขนส่งมวลชนดีที่สุด

หลังๆเริ่มคุ้นกับกรุงเทพมหานครแล้วก็เริ่มเข้ามาพักที่ใกล้ออฟฟิตอย่างสะพานควาย ช่วงนี้มีจักรยานอยู่1 คันวันเสาร์อาทิตย์ก็จะปั่นจักรยานชมกรุง ช่วงเวลานี้ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์กทม.ปั่นจักรยานไปถึงสนามหลวงไปถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว แล้วไปจอดรถจักรยานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นั่งเรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปเที่ยววังหลัง ไปไหว้วัดระฆัง

ด้วยเราเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเยอะการใช้ชีวิตในเมืองกรุงเราต้องมาหาข้อมูลให้เยอะที่สุด เป้าหมายของชีวิตเวลานั้นต้องการเก็บเงินสักพักแล้วกลับไปอยู่บ้าน ก็เลยเก็บภาพความทรงจำไว้ให้เยอะที่สุด แต่ทีนี้ยิ่งทำก็ยิ่งลึกไปเรื่อย จนเป็นความเคยชิน ส่งผลให้มาจนถึงปัจจุบัน การใช้ชีวิตในเมืองกรุงต้องแบ่งแยกตัวเองให้ได้ว่ามาทำอะไร มาทำมาหากินก็เริ่มเก็บซะ ถ้ามาเพื่อสนุกสนานคืนเดียวก็หมด

ช่วงนั้นผมจะมีตู้เย็น มีหม้อหุงข้าว สิ้นเดือนผมต้องซื้อของสดมาไว้ในตู้เย็นเพื่อจะอยู่ให้ถึงสิ้นเดือน ข้าวสารมีพอไหม จะต้องเช็คตลอด เผื่อเพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยือนจะต้องต้อนรับขับสู้เต็มที่ เรื่องกินดื่มถือว่าสุดยอดเรียนรู้เร็ว ดื่มแบบลืมบ้านก็มีแต่ต้องเข้าใจตัวเองว่าเมาแล้วต้องทำงาน ไม่ใช่เมาแล้วทิ้งงาน พ่อแม่ไม่เคยสอนอย่างนั้น พ่อบอกเสมอว่าซื่อสัตย์ ขยัน ประหยัด อดทน ตื่นก่อนและนอนหลัง ทำงานอย่ามีปัญหากับเจ้านาย ถือว่าได้เรียนรู้พอสมควร การเก็บหอมรอมริบแต่ละเดือนทำให้เวลากลับบ้านต่างจังหวัดก็มีเงินทองให้พ่อแม่บ้าง

การอยู่ในเมืองกรุงคิดว่ามันวุ่นวายก็วุ่นวาย เราต้องปรับตัวอยู่ให้ได้ ยิ่งสมัยแรกๆเจอดารามาถ่ายแบบเต็มสตูดิโอ และเราต้องช่วยเขาทำงาน เราเหมือนคนบ้านนอกเลยนะแต่เราก็ปรับตัวจนเป็นคนบ้านนอกเข้ากรุงได้ ผมคุยกับทุกคนนะครับ วินมอเตอร์ไซด์ แม่บ้านออฟิต แมสเซนเจอร์ พนักงานไปรษณีย์ กระเปารถเมล์ ตลกคาเฟ่ นักร้องคาเฟ่ คนเหนือคนใต้คนอีสาน ศิลปินดาราคบหมด แต่เราจะมีความพอดี ไม่เกินเลย จนทุกวันนี้ติดตัวมาจนเป็นการวางตัวให้เหมาะสม ถือว่าการอยู่ในกรุงเทพไม่มีปัญหาและอุปสรรคเพราะเราต้องอยู่ให้ได้ กลับบ้านนอกก็ไม่ได้แม้ว่าวัตถุประสงค์อยากกลับไปดูแลพ่อแม่แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่ มันวันต่อวันที่กรุงเทพมหานคร เคยตั้งไว้เลยว่า จะไม่กลับหลังถ้ายังไม่ได้ดี

0 สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและลุกขึ้นเมื่อยามเหนื่อยล้า

เวลานั้นมาทำงานจะหวังอย่างเดียวว่า เราต้องทำให้ได้ แม่และพ่อเคยบอกว่าทำให้ดีที่สุดเมื่อเหนื่อยล้าก็ต้องคิดถึงคำพ่อแม่ บางเวลาท้อแท้มาก ไม่รู้จะทำอย่างไรก็โทรศัพท์หาแม่ แม่ก็จะปลอบใจ มีวันหนึ่งเมาเหล้าโทรศัพท์กลับบ้าน เราบอกแม่ว่ารักษาสุขภาพนะแม่ แม่บอกว่าจะให้แม่รักษาสุขภาพอย่างไรในเมื่อลุกยังเมาแบบนี้แม่ไม่สบายใจหรอก นั่นคือคำที่จำไว้ตลอดเวลาว่าจะไม่ทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ที่สำคัญผมรักแม่มาก คำแม่บอกอีกคำ จะทำอะไรให้สบายใจที่สุดอย่าให้เห็นข่าวในทีวีที่บอกว่าลูกตัวเองเป็นฆาตรกรฆ่า เป็นโจรปล้น เป็นขโมยลักทรัพย์ ชาวบ้านให้ออกแต่เรื่องดีๆ ก็ไม่คิดว่าหลายปีต่อมาจะออกทีวีแต่เรื่องดีๆให้พ่อแม่และท้องถิ่นภาคภูมิใจ

0 การวางคาแรคเตอร์ ผ้าขาวม้า

จริงๆแล้วผมไม่ได้มีอะไรมากเพียงแค่ต้องการช่วยชาวบ้าน เมื่อเป็นนักข่าวใหม่ๆไปทำข่าวท่องเที่ยวอยู่ทางภาคอีสานน่าจะเป็นแถวบุรีรัมย์นะ คุณยายให้ผ้าขาวม้าผ้าไหมมาหนึ่งผืน และอีกครั้งหนึ่งเราก็ไปที่นั่น คุณยายถามว่าผ้าขาวม้ายายอยู่ไหน ผมก็รับปากคุณยายท่านนั้นว่าเดี๋ยวจะเอาออกทีวีให้ ด้วยที่ชาวอีสานส่วนใหญ่เวลามีแขกบ้านแขกเมืองก็จะเอาผ้าขาวม้าต้อนรับ ผูกเอวให้อย่างดี ถ้าเราจะผูกเอวเอาผ้าขาวม้าออกอากาศก็จะเหมือนนักการเมืองไป เราเลยมองว่าถ้าผูกที่คอไว้ก็จะเช็ดเหงื่อได้ ผ้าขาวม้าจะได้ออกทีวีด้วย

จุดเริ่มต้นจึงมาจากตรงนั้น เวลาชาวบ้านเห็นผ้าขาวม้าก็จะจำเราได้ เอาผ้าขาวม้าให้ แลกผ้าขาวม้ากัน ก็เลยกลายเป็นเอกลักษณ์ในที่สุด การมีผ้าขาวม้าไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นบ้านนอกนะครับ เราผ่านงานบันเทิง ผ่านงานแฟชั่นมา ดาราบางรายเอาผ้าหลุยวิคตองพาดคอ แล้วทำไม้เอาขึ้นคอไม่ได้ เวลาผมมีโอกาสได้เดินทางไปเมืองนอกผมจึงเอาผ้าขาวม้าและพระสมเด็จขึ้นคอไปด้วย ถือว่าเป็นทูตวัฒนธรรมที่ไม่มีราคาค่าตัว เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งทำได้เท่าที่ทำ ก็เราเป็นพลเมืองไทย ถ้าผ้าขาวม้าไปโผล่ตามประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มันไม่ธรรมดา ผมจึงใช้ผ้าขาวม้าเป็นตัวแทน เพราะเรามีการศึกษาแต่เราก็อย่างดึงความเป็นไทยมาให้คนเห็นครับ ไม่ใช่งานบุญมหกรรมผ้าขาวม้าโลกถึงเห็นคนไทยใส่ผ้าขาวม้า ผมไม่มีต้นทุนผมก็ทำแบบบ้านๆนี่แหละครับ

0 ชีวิตในวัยเข้าเลข 5 การวางแผนอนาคตอย่างไร

ผมก็คงทำข่าวไปเรื่อยๆ จนเขาเลิกจ้าง ไม่ใช่อยู่แบบไม่มีค่านะครับ อยู่แบบคุณภาพ ผมรักวิชาชีพข่าว ผมก็ต้องดำรงชีวิตแบบนี้ตลอดไป ข่าวให้โอกาสผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผมภูมิใจ อนาคตที่หวังไปข้างหน้า ก็อยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือถ้ามีโอกาสหรือไปเป็นเกษตรกรทางเลือกปลูกผักปลูกหญ้าไปเป็นชาวนาวันหยุด ติดไวไฟอยู่กลางทุ่งนา เลี้ยงปลาเรียนรู้วิถีพอเพียง ดำรงชีวิตแบบไม่ประมาท ก็ทำให้ดีที่สุด ไม่รู้จะไปตามฝันได้รึเปล่านะครับ

ชีวิตที่ทำไม่มีดวง มีแต่สองมือ มีแต่สมองที่ดิ้นรน ถ้ารอดวงและพรหมลิขิต ก็คงไม่ได้มีวันนี้ มีแต่พรแสวงที่ต้องสู้ต่อไป ก็ชีวิตเกิดมาลุยแล้วก็ต้องลุยต่อไปเหมือนพันนา ฤทธิไกร ปรมาจารย์คิวบู๊แห่งภาคอีสานว่าไว้ และที่สำคัญอย่าน้อยใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่

0 เหตุที่สนใจเรียนสูงๆ

ที่สนใจการเรียนเพราะการเรียนให้อะไรเราเยอะมากผมถึงเรียนให้มันจบดร.อยากสอนเด้กบ้านนอกเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารทางการเมือง รวมไปถึงประสบการณ์นิเทศศาสตร์ที่ตัวเองเจอมา ถ้าไม่มีดีกรีแล้วก็ไม่มีใครยอมรับเราครับ