สร้าง Passive Income เพื่อ Active Life

สร้าง Passive Income เพื่อ Active Life

พอล-ภัทรพล ศิลปาจารย์ กับบทบาทนักลงทุนที่ยึดคอนเซปต์การสร้าง Passive Income หรือ การใช้ทรัพย์สินหาเงิน

ห่างหายจากวงการบันเทิงไปเสียนานสำหรับ "พอล-ภัทรพล ศิลปาจารย์" มาวันนี้ เขากลับเข้าสู่พื้นที่สาธารณะอีกครั้ง กับบทบาทนักลงทุนที่ยึดคอนเซปต์ รวยด้วยอิสรภาพทางการเงิน

พอล อธิบายว่า การรวยด้วยอิสรภาพทางการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด ซ้ำยังเป็นสิ่งที่คนส่วนมากปฏิบัติกันอยู่แล้ว อาทิเช่น การออมเงินด้วยการฝากธนาคาร การแปลงเงินเป็นสินทรัพย์ที่ให้รายได้ระยะยาวอย่างการซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วปล่อยเช่า การสร้างธุรกิจและขายแฟรนไชส์ เหล่านี้ล้วนคือรากแก้วของการสร้างบันไดสู่ความมีอิสระทางการเงินทั้งนั้น

...แต่ต้องทำในระดับที่เข้มข้น...

"ต้องบอกก่อนว่า คนรวยคืออะไร หากอ้างอิงจากนิยามศัพท์คนรวยของนิตยสาร Forbes แล้ว คนรวยหรือเศรษฐีคือ คนที่มีรายได้ 1 ล้านเหรียญต่อปี ส่วนมหาเศรษฐี คือคนที่มีรายได้ 1 ล้านเหรียญต่อเดือน แต่ถ้ามีเงินมาก แล้วไม่กล้าใช้เงิน ยังมีภาวะกลัวเงินพร่องอยู่ นั่นไม่ใช่คนรวยสำหรับผม" หนุ่มพอลเปิดฉากสร้างความเข้าใจนิยามคำว่า "คนรวยไ ให้เข้าใจตรงกัน

และหนทางที่จะเป็นคนรวยด้วย มีอิสระในการใช้เงินด้วยนั้น จะได้มาอย่างไร และเขาทำอย่างไรบ้างจึงมีอิสรภาพดังกล่าว "พอล" กลับมาพร้อมคำตอบทั้งหมด

กรอบความคิดของการออม-การลงทุนของพอลก็คือ การสร้าง Passive Income หรือ การใช้ทรัพย์สินหาเงิน เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีสุข เพราะเขามีความเชื่อตั้งแต่เด็กว่า คนเราเกิดมาก็เพื่อใช้ชีวิต ไม่ใช่เพื่อทำงาน อย่างไรก็ตาม 20 ปีกว่าๆ ที่เขาใช้ชีวิตมานั้น เขาก็เริ่มต้นจากการใช้ชีวิตเพื่อหาเงิน เหมือนกับผู้คนทั่วไป

"ตั้งแต่เด็กแล้ว ผมอยากเกษียณเร็ว เพราะเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ใช่เพื่อทำงาน แต่ตอนนั้นเชื่อว่าการจะเกษียณก็ต้องมีเงินเก็บก้อนใหญ่ เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานหนัก เพื่อให้ได้เงินเยอะๆ ผมเคยไปปรึกษากับนักวางแผนการเงิน ซึ่งคำถามของเขาทำให้ตระหนักว่า เป้าหมายเรื่องเกษียณเร็วที่ผมฝันไว้นั้น ... มันลอย"

พอลยอมรับว่า เขาเองก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่อยากรวยเร็ว เพื่อให้บั้นปลายวัยเกษียณอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อครั้งที่ไปปรึกษากับนักวางแผนการเงิน เขาตั้งโจทย์ว่า เขาอยากเกษียณในวัย 45 ปี มีภรรยา 1 คน ลูก 2 คน ตั้งใจจะส่งลูกเรียนต่างประเทศ งานอดิเรกที่ชอบทำและอยากทำไปเรื่อยๆ คือ ตีกอล์ฟ และจบชีวิตที่แสนสมบูรณ์ด้วยวัย 80 ปี เมื่อเข้าสูตรแผนการเงินของผู้เชี่ยวชาญแล้ว ตัวเลขออกมาว่า เขาต้องมีเงิน 300 ล้านบาท

"ตอนนั้นช็อกกับตัวเลขเหมือนกัน" พอลเล่าติดตลก กระนั้นเส้นทางสู่ความร่ำรวย เพื่อเกษียณเร็วๆ ของเขาก็คือการใช้ชีวิตเพื่อหาเงิน โดยขณะนั้น เขารับงานด้านบันเทิงที่หลากหลาย ทั้งนักแสดง พิธีกร ผู้อ่านสปอร์ตโฆษณา รวมถึงเปิดลงทุนธุรกิจของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องแลกไปด้วยเวลา และสุขภาพ

จุดเปลี่ยนของเขาเกิดขึ้นราว 3 ปีที่แล้ว โดย "พอล" มีโอกาสได้เข้าคอร์สที่จัดโดย ที.ฮาร์ฟ เอคเคอร์ (T.Harv Aker) และได้ฟังสัมมนาที่วิทยากรคือผู้เขียนหนังสือ "ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน" (The Secret of Millionaire Mind) ซึ่งพลิกความคิดของเขาชนิดที่เรียกได้ว่า "กลับสัดส่วน" กันอย่างสิ้นเชิง

พอลเล่าว่า ตอนที่เริ่มลงทุนใหม่นั้น อายุประมาณ 19 - 25 ปี เขาลงทุนในตลาดทุน ประกอบด้วยหุ้น และกองทุน รวมเป็นประมาณ 50% ของพอร์ตลงทุน และอีก 50% เป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยในการลงทุนในหุ้นนั้น เป็นแบบหุ้นเก็งกำไร 80% และหุ้นปันผล 20% ซึ่งพอลยอมรับว่า สัดส่วนการลงทุนเช่นนี้ก็ทำให้เขาเจ็บตัวอยู่เหมือนกัน

"ตอนนั้นที่ลงทุนอสังหาฯ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะผมคิดง่ายๆ เห็นว่าเป็นคอนโดที่มีพร้อม เล็งว่าซื้อมาปุ๊บจะปล่อยเช่าเลย แล้วกินยาว แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ส่วนหุ้นก็แดงเต็มกระดานเหมือนกัน ตัวที่ได้เยอะที่สุดก็คือไอพีโอหุ้นปตท."

แต่หลังจากการฟังสัมมนา และได้รู้จัก Passive Income อย่างลึกซึ้งขึ้น ได้รู้จัก Mind Set ของตัวเอง ทำให้รูปแบบการออม-การลงทุนของเขาไม่หลักลอยอีกต่อไป แน่นอนตัวเลขที่เขาอยากได้เพื่อใช้ชีวิตสุขสบายในบั้นปลายของชีวิตยังเป็น 300 ล้านบาทเหมือนเดิม แต่เขาได้แนวทางใหม่ว่าทำอย่างไรจึงจะได้มา โดยที่ไม่ต้องแลกด้วยสุขภาพ และเวลา ที่เงินไม่สามารถซื้อได้

ทั้งนี้ พอลแบ่งวิธีสร้าง Passive Income ออกเป็น 6 วิธี คือ ด้วยสินทรัพย์ทางการเงิน (Finance Assets) ด้วยสินทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Assets) ด้วยอินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง (Internet Marketing) ด้วยอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ด้วยการซื้อแฟรนไชส์ (Franchise) และด้วยธุรกิจเครือข่าย (Network marketing)

ส่วนพอร์ตลงทุนของพอลในตอนนี้ แบ่งออกเป็นตลาดทุน 50% และอสังหาริมทรัพย์ 50% โดยในตลาดทุนนั้น จะเน้นการลงทุนในกองทุนที่มีปันผล อัตราผลตอบแทนประมาณ 7 - 9% ส่วนตลาดหุ้นจะเน้นหุ้นปันผลมากกว่าหุ้นเก็งกำไร และรีวิวการลงทุนประมาณไตรมาสละ 1 ครั้ง เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนตามบริบทของเศรษฐกิจที่ผันแปรไป ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดทุนนั้น อยู่ราว 20 - 30% ต่อปี ซึ่งก็เป็นตามเป้าหมาย

"เมื่อก่อนนี้อีโมชั่นมันเยอะ ความโลภเยอะ และไร้ระเบียบวินัย แต่พอโตขึ้นก็เริ่มมีระเบียบขึ้น รู้จักตัดขาดทุน และเอาเงินจากแคปปิตอลเกนไปลงทุนในหุ้นปันผลอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวทางที่ผมชอบ เพราะมีเวลาไปทำสิ่งที่ชอบ"

พอลบอกเพิ่มว่า หลังจากที่ได้รู้จักกับ Passive Income เป้าหมายการเกษียณของเขาก็เปลี่ยนไป โดยตอนนี้ เขาวางเป้าหมายจะเกษียณที่อายุ 37 ปี โดยมีรายได้ 1 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะเป็นลักษณะ Passive Income และใช้ชีวิตล้อไปกับความผันที่เขาลิสต์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น การเที่ยวรอบโลกปีละ 3 ครั้ง, ดูแลเด็กในมูลนิธิ Happy Life Foundation 100 คนขึ้นไป และสอน Finance Freedom ให้กับผู้ที่สนใจแนวความคิดเดียวกันปีละ 2 ครั้ง

"37 ปี เกษียณผมว่าไม่เร็วไป เกษียณของผมไม่ใช่การอยู่บ้านเฉยๆ นอนกินดอกเบี้ย แต่เกษียณของผมคือการได้ชีวิตตามที่อยากใช้ อยากเป็น เพื่อมีความสุขกับการชีวิตอย่างมีอิสระ แม้จะเกษียณผมก็ยังทำงานได้ เพียงแต่ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงินแล้วเท่านั้น ผมทำงานเพราะมันเป็นงานที่ทำให้ผมมีความสุข เกษียณก็คือการมีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการหารายได้นั่นแหละ"

ส่งท้ายด้วยผลพวงจากการมี Passive Income 5 อย่างที่พอลเชื่อว่า หากใครสามารถมี 5 สิ่งนี้ได้ เรียกได้ว่ามีความสุขสุด นั่นคือ มีอิสระทางการเงิน (Financial Freedom), อิสระด้านเวลา (Time Freedom), สุขภาพดีตามวัย, มีครอบครัวตามที่หวัง และมีชีวิตบั้นปลายตามสมควร