ป.ป.ท. เร่งเครื่องต้านทุจริต สร้างเชื่อมั่น หนุนไทยสวรรค์การลงทุน

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้จัดกิจกรรม การเสริมสร้างศักยภาพเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่นักลงทุนและชาวต่างชาติ ภายใต้โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจเอกชนและนักลงทุนในการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 ณ อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี 

กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ และเพิ่มพูนทักษะความสามารถของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ในการรับเรื่องร้องเรียนและสืบสวนสอบสวน เพื่อเร่งบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนเสียหายที่นักลงทุนและชาวต่างชาติได้รับ และสร้างความเชื่อมั่นใน ป.ป.ท. ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ โดยในเวทีการเสวนาในหัวข้อ "การแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อคิดเห็นของนักธุรกิจ/นักลงทุนภาคเอกชนชาวต่างชาติ ต่อปัญหาการทุจริตในภาครัฐของไทยและแนวทางสำหรับการสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจในกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนของสำนักงาน ป.ป.ท." ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้นำหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทยหลายท่านเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง

นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการทุจริตต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เนื่องจาก ป.ป.ท. มีกำลังคนจำกัดเพียงประมาณ 600 กว่าคน เมื่อเทียบกับข้าราชการทั้งประเทศกว่า 3 ล้านคน ดังนั้นการช่วยกันป้องกันดีกว่ารอให้เกิดปัญหาการทุจริตแล้วค่อยมาปราบปรามซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมากกว่า

ภูมิวิศาล กล่าวเพิ่มเติม ถึงปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือกับดักการอนุมัติและอนุญาตที่ซับซ้อน ไม่ชัดเจน และเปิดช่องให้เกิดการประพฤติมิชอบ ซึ่ง ป.ป.ท. กำลังเร่งปิดช่องโหว่เหล่านี้ ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน และเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยกำลังดำเนินการผ่าน พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 และการใช้ระบบ super licence สำนักงาน ป.ป.ท. พร้อมรับฟังปัญหาและเรื่องร้องเรียนจากนักลงทุนต่างชาติ ยืนยันว่าผู้ร้องเรียนไม่จำเป็นต้องกลัว แม้เพียงบัตรสนเท่ห์ 4 บรรทัดก็สามารถนำไปสู่การสืบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดได้จริง และ ป.ป.ท. ยังมีระบบ คุ้มครองพยาน สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความปลอดภัย ผมย้ำว่ามีแต่ข้าราชการเลวๆ เท่านั้นที่ต้องการเรียกรับผลประโยชน์

"เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของชาติ โดยป.ป.ท. มีพันธกิจในการสร้างประเทศไทยให้เป็นสวรรค์ของนักลงทุน และพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาการทุจริตอย่างเต็มที่" ภูมิวิศาล กล่าวปิด

ความซับซ้อนกฎระเบียบ ตัวการหลักทุจริต

วีเบ็คก้า ลิสซานด์ เลียร์วาก ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประทศไทย (JFCCT) กล่าวว่า ระบบ Super Licence จะช่วยตัดช่องทางการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อเร่งรัดขั้นตอนขอใบอนุญาตซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการทุจริต แม้ว่าประเทศไทยจะมีข้อได้เปรียบดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในด้านภูมิศาสตร์ ระบบสาธารณสุข และโรงเรียนนานาชาติ แต่กฎระเบียบที่ไม่ชัดเจนและการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะในเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน VISA Work Permit ซึ่งบริษัทใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI มักจะไม่มีปัญหานี้

"แต่กลุ่มธุรกิจขนาด SME เป็นกลุ่มที่เปราะบาง และมักต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อให้ขั้นตอนรวดเร็วขึ้น การที่ประเทศไทยเข้าร่วม OECD ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงรายงาน "B-Ready" ของธนาคารโลกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา จะช่วยเข้ามาประเมินมาตรฐานในการประเมินความพร้อมและส่งเสริมความโปร่งใสในธุรกิจ" วีเบ็คก้า กล่าวปิด

โทมัส เคลเลอร์ ประธานหอการค้าไทย-สวิสเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตนั้นเป็นปัญหาระดับสากลที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่มีระดับความรุนแรงและรูปแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งการทุจริตไม่ใช่แค่ปัญหาทางศีลธรรม แต่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน และเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติคำนึงถึงเมื่อต้องตัดสินใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศ 3 หลักการสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน ได้แก่ ความโปร่งใส (Transparency) ความสม่ำเสมอ (Consistency) และความเป็นอิสระ (Independency) โดยความสม่ำเสมอจะช่วยสร้างความคาดการณ์ได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบริษัทต่างชาติซึ่งมีนโยบายที่ไม่ยอมรับการทุจริตโดยเด็ดขาดทั่วโลก

"ผมมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง และเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี และเชื่อว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันจะช่วยสนับสนุนอนาคตที่โปร่งใสยิ่งขึ้น" โทมัส กล่าวปิด

แอ็กแซล บลอม ประธานหอการค้าไทย-นอร์เวย์ กล่าวว่า ข้าราชการไทยส่วนใหญ่ทำงานอย่างหนักและควรได้รับการชื่นชม อย่างไรก็ตาม เงินเดือนข้าราชการที่ไม่สูงนักอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การแสวงหารายได้เสริม รวมทั้งปัญหาระบบราชการที่ยุ่งยากซับซ้อน ที่ต้องการเอกสารจำนวนมากและการลงนามหลายขั้นตอน ก็เป็นการเปิดช่องให้เกิดการใช้คนกลางเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกแลกกับค่าตอบแทน และการปลูกฝังการศึกษาเรื่องการทุจริตตั้งแต่เด็กเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ตระหนักว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดและน่าอับอาย และสร้างจิตสำนึกในการมองว่าการทุจริตเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

โทมัส จูลิน รองประธานหอการค้าไทย-สวีเดน กล่าวว่า บริษัทขนาดใหญ่มีทรัพยากรและนโยบายที่เข้มแข็งในการต่อสู้กับการทุจริต แต่ SME เป็นกลุ่มที่เปราะบาง และได้รับผลกระทบจากการทุจริตอย่างหนัก

ทั้งนี้ การเติบโตในสังคมที่คุ้นเคยกับการจ่ายเงินเพื่ออำนวยความสะดวก ทำให้การปลูกฝังจริยธรรมเป็นเรื่องที่ท้าทาย ดังนั้นการสนับสนุนด้านการศีกษาและตอกย้ำเรื่องจริยธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น