"ไบโอซายน์" จ่อขายหุ้นไอพีโอ ไตรมาส 2/65

"ไบโอซายน์" จ่อขายหุ้นไอพีโอ ไตรมาส 2/65

“ไบโอซายน์” คาดขายไอพีโอ 94 ล้านหุ้น ไตรมาส 2/65 หวังนำเงินระดมทุนขยายธุรกิจ ดันขึ้นแท่นผู้นำในอุตสาหกรรมไบโอเทคระดับอาเซียน ตั้งเป้ารายได้ปี 65 โต 18-20%จากปีนี้คาดอยู่ที่ 2 พันล้าน

นายวันชัย ศรีหิรัญรัศมี ประธานกรรมการ บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS เปิดเผยว่า บริษัทคาดเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) 94 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 0.50 บาท ประมาณต้นไตรมาส 2 ปี 2565 หลังเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2564 ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

สำหรับการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ รวมถึงวิจัยและพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเวชภัณฑ์สัตว์ เพื่อเป้าหมายระยะยาวในการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมไบโอเทคระดับอาเซียน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และเป็นอุตสาหกรรมที่จะสนับสนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) ให้กับประเทศ

ทั้งนี้เบื้องต้นบริษัทจะนำเงินระดมทุนราว 50-60 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสุกรร่วมกับสำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศที่มีราคาสูง อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมไบโอเทคของไทยอีกด้วย และยังสามารถต่อยอดส่งออกวัคซีนของไทยไปยังประเทศใกล้เคียง

รวมถึงนำไป ขยายโรงงานการผลิตสินค้าและการลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร 110 ล้านบาท นำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 250 ล้านบาท และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 

นายวันชัย กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์สัตว์มีมูลค่าสูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจสารเสริม 1.1 หมื่นล้านบาท กลุ่มธุรกิจวัคซีน 7.4 พันล้านบาท และกลุ่มธุรกิจวิตามิน 3.5 พันล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องควบคู่กับการเติบโตของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงเฉลี่ย 9-10% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2559-2563) อีกทั้งยังเป็นธุรกิจเฉพาะทางที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันได้ยาก เพราะต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจในระดับสูง

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2564 บริษัทคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ และคาดว่าจะส่งผลให้รายได้รวมปี 2564 จะเติบโตแตะระดับ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน โดยยอมรับว่าอัตราการเติบโตของรายได้ลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 18-20% เพราะยอดขายที่ลดลงในช่วงที่เกิดโควิด-19 แต่คาดว่าในปี 2565 และในปีถัดๆ ไป รายได้รวมจะกลับมาเติบโตในระดับ 18-20% จากปัจจัยหนุนสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมถึงผลบวกจากงานวิจัยที่ทำร่วมกับ สวทช. และการขยายโรงงาน