สิงคโปร์ผ่อนคุมโควิด ยันกลับไปคุมเข้มเป็นหนทางสุดท้าย

สิงคโปร์ผ่อนคุมโควิด ยันกลับไปคุมเข้มเป็นหนทางสุดท้าย

สิงคโปร์อนุญาตให้ประชาชนรวมตัวและรับประทานอาหารนอกบ้านได้มากขึ้น ตามแนวทางค่อยๆ เปิดประเทศ รมว.สธ.ยัน กลับไปใช้มาตรการเข้มงวดจะเป็นตัวเลือกสุดท้าย

ตามที่สิงคโปร์ใช้วิธีค่อยๆ อนุญาตให้ประชาชนฉีดวัคซีนแล้วกลุ่มเล็กๆ มีเสรีภาพมากขึ้น อีเวนท์กลับมาจัดแบบเปิดให้คนเข้าร่วมได้ และเปิดรับนักเดินทางจากบางประเทศแบบไม่ต้องกักตัว (วีทีแอล) พร้อมๆ กับเพิ่มการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ล่าสุดนายออง เยคุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อลดโอกาสไม่ให้สิงคโปร์ต้องถอยหลังกลับบ่อยเกินไป

“คุณจะไม่กลับไปคุมเข้มเหมือนเดิมไม่ได้หรอก แต่ควรเป็นวิธีสุดท้าย เพราะทำให้ประชาชนไม่พอใจอย่างมาก” รมว.สธ.กล่าว

ทั้งนี้ ประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากร 5.45 ล้านคนใช้มาตรการคุมโควิดเข้มงวดและผ่อนคลายสลับกันไปมาบ่อยครั้งช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เหมือนกับหลายๆ ประเทศเมื่อเจอการระบาดระลอกใหม่ผลจากสายพันธุ์เดลตา

นายอองกล่าวด้วยว่า ยังยากเกินไปที่จะกำหนดกรอบเวลาชัดเจนได้ว่าสิงคโปร์จะบรรลุ “นิวนอร์มอล” เมื่อใด แต่เขาหวังว่าอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงและการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในขณะนี้หมายความว่าสิงคโปร์จะเดินหน้าผ่อนคลายข้อจำกัดต่อไป

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่ใช้ยุทธศาสตร์“โควิดเป็นศูนย์” บังคับใช้มาตรการเข้มงวดที่สุดในโลกบางประการ เพื่อควบคุมการติดเชื้อและเสียชีวิตอยู่ที่ราว 252,000 คน และ 662 คน ตามลำดับซึ่งถือว่าต่ำ แต่ปีนี้่สิงคโปร์เปลี่ยนมาใช้ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิดในฐานะโรคประจำถิ่น โดยประชาชนผู้เข้าเกณฑ์ราว 94% ฉีดวัคซีนครบโดสอีก 23% ของประชากรทั้งหมดฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว

หนึ่งในมาตรการผ่อนคลายล่าสุดคือ อนุญาตให้ประชาชนรวมตัวและรับประทานอาหารนอกบ้านได้จาก 2 คนเป็น 5 คน ถือว่าค่อนข้างเข้มงวดเมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ประเทศ พร้อมกันนั้นก็กระชับมาตรการกับคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ห้ามรับประทานอาหารนอกบ้าน ห้ามเข้าห้างสรรพสินค้า และเก็บค่ารักษาโควิด-19 ถ้าไม่ยอมฉีดวัคซีนป้องกัน

ส่วนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวถ้าตรวจไม่พบว่าติดโควิด (วีทีแอล)  ที่สิงคโปร์ทำกับกว่า 12 ประเทศ อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐ สิ้นเดือนนี้จะทำเพิ่มกับมาเลเซียและอินเดีย

“เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำสิ่งนี้ ในฐานะประเทศเล็กที่มุ่งสู่ภายนอก เราจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับโลก ในอนาคตอันใกล้ผมคิดว่าการทำวีทีแอลจะเป็นเรื่องปกติ” รัฐมนตรียืนยัน