"การบินไทย" ปัดบีบรัฐเพิ่มทุน ลั่นหากเอกชนใส่เงินจะกดส่วนถือหุ้นเหลือ 8%

"การบินไทย" ปัดบีบรัฐเพิ่มทุน ลั่นหากเอกชนใส่เงินจะกดส่วนถือหุ้นเหลือ 8%

“การบินไทย” ลั่นหากรัฐไม่เพิ่มเงินทุนก้อนใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท จะกดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 8% เตรียมนำอสังหาริมทรัพย์ – เครื่องบิน เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้เอกชน

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงประเด็นการเดินหน้าแผนฟื้นฟูการบินไทย รอด...ไม่แฮร์คัต โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูการบินไทยได้เดินทางไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการพบเพื่อรายงานสถานะของการบินไทย สถานะทางการเงิน แผนฟื้นฟูและภาพรวม โดยยืนยันว่าไม่ได้ไปพบเพื่อขอให้แก้ไขแผนฟื้นฟู

“เราไปพบนายกฯ เพื่อเรียนถึงสถานะของการบินไทยที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และเรียนว่าแผนฟื้นฟูที่ต้องมีเงินจากรัฐ และเอกชนรวม 5 หมื่นล้านบาท จากการประเมินผลการดำเนินงานของการบินไทยในช่วงที่ผ่านมา  2.5 หมื่นล้านบาท จากเอกชนน่าจะเพียงพอ และขณะนี้รัฐเองก็มีเรื่องที่ต้องใช้จ่ายงบประมาณอยู่แล้ว ดังนั้นหากจะเป็นเงินทุนใหม่เพียง 2.5 หมื่นล้านบาท ก็ต้องมีการแก้แผน เพราะว่ารัฐจะไม่เอาเงินใส่เข้ามา ไม่ได้ไปขอความเห็นชอบให้แก้แผน เพียงแต่ไปรายงาน”

อย่างไรก็ดี ในกรณีที่รัฐไม่ใส่เงินเข้ามา ก็ทำให้รัฐอาจจะเสียโอกาส เพราะการที่เอาเงินใส่เข้ามา จะมีสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคา 2.54 บาท ดังนั้นเอกชนการที่เพิ่มทุนเข้ามา 2.5 หมื่นล้านบาท ก็จะมีสิทธิซื้อหุ้นส่วนนี้ แต่สัดส่วนรัฐจะลดลงเหลือ 8% จากปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 48% ก็จะลดลงมาเหลือแค่ 8% เป็นการบ้านที่รัฐต้องคิดว่าจะเอาอย่างไร เพราะสัดส่วนการถือหุ้นลดลง

ทั้งนี้ หากรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังต้องการคงสัดส่วนหุ้น การบินไทยก็รายงานไปว่ามีหลายวิธี เช่น แปลงหนี้ให้เป็นทุนในราคา 2.54 บาท หรืออาจจะแก้แผนให้สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมได้ โดยรัฐถือหุ้นการบินไทยรวมอยู่ 48% ถ้าทำแบบนี้ก็มีสิทธิซื้อหุ้นด้วย และหากรวมกองทุนวายุภักษ์ และธนาคารออมสิน รัฐก็จะมีสัดส่วนถือหุ้นรวม 67% ดังนั้นยืนยันว่าไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องแฮร์คัต

“มันมีประเด็นที่รัฐต้องไปคิดต่อว่าจะเอายังไง จะยอมให้สัดส่วนหุ้นลดลงเหลือ 8% หรือไม่ แต่หากรัฐไม่ได้คิดเรื่องนี้ และไม่ทำอะไรเลย ก็จะเป็นไปตามนั้น”

 

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวด้วยว่า เงินทุนก้อนใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท จากทางเอกชนจะเป็นเงินกู้ แต่รายละเอียดขณะนี้ยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากธนาคารที่เจรจายังไม่ได้รับเงื่อนไขทั้งหมด แต่ดูจากสถานะทางการเงินของการบินไทยซึ่งดีกว่าคาดการณ์เยอะ จากการปรับโครงสร้างหนี้ ลดต้นทุนต่างๆ ดังนั้นจากการที่ประเมินว่าหากแฮร์คัตแล้วการบินไทยจะไปได้หรือไม่ได้ ถือว่าตอนนี้เป็นการแฮร์คัตทางอ้อมไปแล้ว เพราะทำให้ภาระหนี้สินลดลงไปพอสมควร และทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ติดลบอยู่ก็เริ่มติดลบไม่มาก

สำหรับกรณีที่กล่าวว่า การแฮร์คัตทางอ้อมเป็นอย่างไรนั้น เช่น การดำเนินงานที่ผ่านมา การบินไทยมีการขอยืดหนี้เงินกู้ของเอกชน หุ้นกู้ 7 หมื่นล้านบาท ทำการยืดหนี้ไป 6 ปี ลดดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อดูมูลค่าปัจจุบันแล้ว การบินไทยจ่ายหนี้แค่ 60% ถือเป็นการแฮร์คัตทางอ้อม และในส่วนของผู้เช่าเครื่องบิน 57 ลำ ก็ลดค่าเช่าไปได้เยอะ เป็นการตัดภาระหนี้สินจากปี 2563 – 2564 ค่าเช่าจ่ายเป็นรายชั่วโมงที่ใช้งานจริง จ่ายแค่ 17% ของภาระสุทธิ ดังนั้นพอเข้าแผนฟื้นฟูการบินไทยจ่ายค่าเช่าแค่ 17% ก็ถือเป็นการแฮร์คัต

“ตอนนี้การบินไทยเราได้เสนอทางเลือกที่รัฐจะสามารถดำเนินการได้ ให้รัฐไปพิจารณา ซึ่งก็อยากได้คำตอบเร็วที่สุด เพื่อให้การบินไทยเรากลับไปดำเนินการตามแผน สัดส่วนหุ้นคลังที่จะลดจาก 48% เหลือ 8% เรายืนยันด้วยว่าไม่ได้เป็นการบีบรัฐ แต่ให้ทางเลือก ก็แล้วแต่รัฐจะเอาอย่างไรก็ได้ แล้วแต่จะตัดสินใจ”

ทั้งนี้  การเจรจาเงินกู้ก้อนใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท เป็นการเจรจาจากเจ้าหนี้เดิม ซึ่งตอนนี้สถาบันทางการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เดิมนั้นกำลังพิจารณา โดยภาพรวมไม่ได้มีปัญหาติดขัดอะไร เป็นการพิจารณาในเรื่องทั่วๆ ไป แต่ประเด็นสำคัญในตอนนี้คือการบินไทยต้องแสดงให้เห็นว่าการบินไทยไปรอดแน่นอน เพราะที่ผ่านมาลดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 4.5 หมื่นล้านบาท ถ้ากลับมาบินปกติหลังโควิด การบินไทยมีกำไรแน่นอน และมีกำไรเยอะด้วย

ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เป็นเดือนแรกหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่การบินไทยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักรายการพิเศษ ซึ่งรายการพิเศษดังกล่าวเป็นเงินชดเชยพนักงาน เป็นรายการจ่ายที่ไม่คงที่ ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากของการฟื้นตัวทางธุรกิจ และยอดจองตั๋วตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นมาก

นายปิยสวัสดิ์ เผยด้วยว่า การหาเงินทุนก้อนใหม่ที่จะได้จากทางเอกชนนั้น จำเป็นต้องใช้หลักประกัน โดยปัจจุบันการบินไทยมีอสังหาริมทรัพย์เยอะมากที่สามารถเอาไปเป็นหลักประกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินเก่า 42 ลำที่ปลดระวางรอทำการขาย ที่ผ่านมามีการเจรจาซื้อขายไปแล้ว 11 ลำ ได้ราคาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่มีการทยอยประกาศขายไปแล้วเป็นอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ แต่ยังอีกเยอะ โดยเฉพาะที่ดินสำนักงานใหญ่วิภาวดี พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ และอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ลอนดอน ฮ่องกง ดังนั้นการบินไทยจะเอาทรัพย์สินที่เหลืออยู่นี้ไปค้ำประกัน

ส่วนกรณีที่การบินไทยจะนำทรัพย์สินไปค้ำประกัน อาจทำให้เจ้าหนี้รายเก่าไม่พอใจนั้น การบินไทยขอชี้แจงว่าในช่วงที่ผ่านมาคณะผู้บริหารแผน ได้หารือร่วมกับกรรมการเจ้าหนี้มาโดยตลอด รายงานให้ทราบถึงการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟู มีการประชุมร่วมกันทุกเดือน และการจะเอาหลักทรัพย์ไปค้ำประกัน เพื่อได้เงินใหม่เข้ามา ก็เป็นเรื่องดีกับเจ้าหนี้ทุกราย

สำหรับสภาพคล่องของการบินไทยในขณะนี้ที่มีเงินสดอยู่ราว 6.5 พันล้านบาท การบินไทยมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ เพราะหลังจากนี้จะทยอยรับรู้รายได้จากการขายเครื่องบินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจากกระแสเงินสดที่มีเดิมจากศาลล้มละลายเห็นชอบแผนฟื้นฟูในขณะนั้น การบินไทยประเมินว่าเงินสดในมือจะหมดตั้งแต่ ต.ค.ที่ผ่านมา แต่แสดงให้เห็นแล้วว่าที่ผ่านมา แผนบริหารสภาพคล่องได้ผลเป็นอย่างดี จนมีเงินสดเพิ่มเข้ามาเป็น 7 พันล้านบาท

ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นแต่ละเดือนนั้น เบื้องต้นประเมินอยู่ที่ราว 1-2 พันล้านบาท และมีเงินสดรับต่อเดือน เฉพาะในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา มีรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารและคาร์โก้ราว 1.2 พันล้านบาท และในเดือนพ.ย.คาดว่าจะมีรายรับเข้ามาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเมินจากยอดจองตั๋วตั้งแต่กลางเดือนต.ค.เป็นต้นมา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ ดังนั้นเงินทุนก้อนใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท ดูจากสถานการณ์แล้ว การบินไทยยังไปได้อีกระยะ และสามารถรอเงินทุนใหม่นี้ได้ถึงต้นปีหน้า

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์