ชูวิทย์ โพสต์ "เปิดประเทศ" ให้เคี้ยวแต่ไม่ให้กลืน ไม่สนับสนุนแต่ควบคุมเข้ม

ชูวิทย์ โพสต์ "เปิดประเทศ" ให้เคี้ยวแต่ไม่ให้กลืน ไม่สนับสนุนแต่ควบคุมเข้ม

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กจากกรณีที่บ้านเราเริ่มทำการ "เปิดประเทศ" รับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ตั้งคำถามมีความพร้อมจริงหรือ ชี้ "เปิดประเทศ ให้เคี้ยว แต่ไม่ให้กลืน"

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กจากกรณีที่บ้านเราเริ่มทำการ "เปิดประเทศ" รับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เบื้องต้นจาก 63 ประเทศ สามารถเข้าสู่ประเทศไทยแบบไม่ต้องกักตัว อย่างไรก็ตาม การเดินทางเข้าประเทศไทย ผู้เดินทางจะต้องมีการขอ "Thailand Pass" พร้อมเงื่อนไขต่างๆ ตามที่กำหนดไว้

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

- "เปิดประเทศ" 1 พ.ย.64 เช็คเลย ชนิดวัคซีนโควิดที่ถูกยอมรับ ฉีดแล้วเข้าไทยได้

- ‘SHA’ คืออะไร ต่างจาก ‘SHA Plus’ ยังไง อยาก ‘ขายแอลกอฮอล์’ ต้องทำอย่างไร?

- ลงทะเบียนขอ "Thailand Pass" เอกสารที่ต้องเตรียม ขั้นตอนวิธีการแบบครบจบ

 

โดยข้อความของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พูดถึงประเด็นการ "เปิดประเทศ" แต่ทว่ามีคำถามว่าเราพร้อมเปิดแล้วจริงๆ หรือไม่ 

 

ข้อความของ นายชูวิทย์ จั่วหัวระบุว่า "เปิดประเทศ ให้เคี้ยว แต่ไม่ให้กลืน"

 

เปิดประเทศมาตั้งแต่วันที่ 1 รัฐบาลประกาศป่าวๆ เชิญชวนต่างชาติมาท่องเที่ยว แต่หามีความพร้อมไม่?

 

เอาแค่ร้านอาหารที่ว่าให้ขายแอลกอฮอล์ หรือโรงแรมที่จะเปิดรับการเปิดประเทศต้องมี SHA Plus ไว้ควบคุม ดูเหมือนจะปล่อยให้ดื่ม แต่ก็กั๊กไว้ด้วยระเบียบควบคุมหยุมหยิม จะว่าดีมันก็ดีที่ป้องกันไว้ก่อน

 

แต่การสมัคร SHA Plus มีขั้นตอนมากมายซับซ้อนยุ่งยาก เหมือนแทนที่จะสนับสนุน กลับซ้ำเติมให้ปิดต่อไป แม้ว่าต้องมีการควบคุม แต่หน่วยงานรัฐควรจะช่วยธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ให้พร้อมรับการเปิดประเทศ ฟื้นฟูธุรกิจ ลืมตาอ้าปากได้โดยเร็ว เพราะถึงจะเปิดประเทศแล้ว แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะกลับไปได้ทันใจเหมือนก่อนโควิด

 

ภาระหน้าที่ของรัฐคือ “สนับสนุน” ไม่ใช่ “ซ้ำเติม” แล้วเอาไปโฆษณา อ้างบุญคุณ เวลาแถลงข่าวอวดผลงาน 

 

แถมระบบ SHA Plus ที่บังคับให้ทุกธุรกิจเปิดรับนักท่องเที่ยวต้องลงทะเบียน ยังล่มเอาเสียดื้อๆ เจ้าหน้าที่สารพัดก็เกิดขยัน ตรวจเช้า สาย บ่าย เย็น ไม่มี SHA Plus เปิดไม่ได้ 

 

เมื่อก่อนตอนระบาดหนัก ติดต่อหน่วยงานราชการก็อ้างว่า “ช่วงโควิด ไม่มีใครมาทำงาน work from home กันหมด รอไปก่อน”

 

 

แต่ตอนนี้กลับฟิตจัด work from heart ตรวจแล้วตรวจอีกตอนคนเขาจะรีบทำมาหากิน หายาไส้ลูกเมีย เลี้ยงพนักงาน แค่เอาธุรกิจให้รอดยังลำบาก อย่าไปคิดหากำรี่กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะมองเห็นอยู่แล้วว่าเป็นยังไง ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบรรดาผู้ประกอบการแต่อย่างใดเลย ต้องสไตล์ “ตัวใครตัวมัน” เหมือนเช่นเคย

 

เพราะรัฐบาลไทยมักจะใช้นโยบาย  “ให้เคี้ยว แต่ไม่ให้กิน ให้กิน แต่ไม่ให้กลืน” ทำอะไรกั๊กๆ กล้าๆ กลัวๆ ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี สั่งอย่างเดียว ส่วนลูกน้องก็ได้แต่ทำตามระเบียบไม่ให้ตกหล่น ไม่มีวิจารณญาณตัดสินอะไรได้ แล้วแต่นโยบายเบื้องบน หาได้รู้ว่าธุรกิจต่างๆ ที่ผ่านมา 2 ปี ในช่วงโควิดต้องล่มสลาย ปิดตัว เจ๊ง ไปเท่าไหร่แล้ว?

 

ตอนนี้ยังจะมาสร้างบรรยากาศอึมครึม เข้มงวดด้วยการประเคนกฎระเบียบยิบย่อยมากมายหลากหลายหน่วยงานที่ขยันออกตรวจตรา สงสารบรรดาธุรกิจที่หวังจะลืมตาอ้าปากในช่วงรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ แต่กลับต้องเจอมาตรการโหดสารพัด “ความไม่พร้อมแต่เสือกอยากเปิด”

 

เมื่อให้เปิดก็ควรให้การสนับสนุน แนะนำ ไม่ใช่ควบคุม บีบคั้น ทำไม่ได้ก็เปิดไม่ได้ ในเมื่อรัฐบาลเป็นเจ้าภาพออกนโยบาย หากต้องการให้สำเร็จต้องมีคนที่เข้าใจทำงานครับท่าน ไม่ใช่เอาคนมาหากินบนความเดือดร้อนของประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ

 

คนทำธุรกิจร้อยล้าน พันล้าน บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะใช้มาตรฐานเดียวกันกับร้านค้าหรือโรงแรมขนาดเล็กได้ไง?

 

เอาใจนายทุน แต่ไม่เห็นหัวชาวบ้าน ทำงานกันสะเปะสะปะ หน่วยงานนั้นว่าอย่าง อีกหน่วยงานไปอีกอย่าง บางทีหน่วยงานหนึ่งบอกสั่งไปแล้ว แต่อีกหน่วยงานบอกไม่รู้เรื่อง การเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูธุรกิจให้ลืมตาอ้าปากได้ มันน่าจะพร้อมกว่านี้ไหม?

 

ไม่ใช่เปิดไปช่วยตัวเองไป ทั้งๆ ที่ผ่านมาเจ็บตัวอยู่แล้ว ก็เข้าใจได้ แต่พอให้เปิดกลับขาดการสนับสนุน มีแต่การควบคุม รายใหญ่รอดแต่รายกลาง รายเล็ก ยังตายสนิทรับเปิดประเทศ 

 

ส่วนรัฐทำได้แค่ประคองเอาตัวรอด รอจังหวะจัดทัพแข่งขัน เอาหน้าม้ามาสับคนเห็นต่าง แล้วรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา จ้องกลับมาบริหารประเทศรอบต่อไป ใครคิดล้มเป็นถูกไล่ล่า ไม่ให้ทำซ้ำสอง

 

แหม...เรื่องแบบนี้คิดได้เป็นตุเป็นตะ แต่เรื่องบริหารประเทศ ไม่เห็นเด็ดขาดแบบนี้เลย

CR เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์