นายกฯร่วมประชุม IMT-GT ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้าน

นายกฯร่วมประชุม IMT-GT ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้าน

"ประยุทธ์" ประชุมโครงสร้างพื้นฐาน IMT-GT ร่วมกับชาติสมาชิก งานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย  ผ่านระบบการประชุมทางไกล เดินหน้าฟื้นฟูสมาชิกจากผลกระทบจากโควิก-19 เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สร้างการเติบโตระยะต่อไป

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 13 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (13th IMT-GT Summit) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีดาโต๊ะ ซรี อิสมาอิล ซาบรี บิน ยาขอบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นประธานการประชุมพร้อมด้วย นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย

นายอาเหม็ด เอ็ม ซาอีด รองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ดาโต๊ะ ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน ร่วมด้วยรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกแผนงาน IMT-GT เข้าร่วมการประชุม โดยของไทยคือ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายกฯร่วมประชุม IMT-GT ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้าน

ผู้นำแผนงาน IMT-GT ของ 3 ประเทศได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของแผนงาน IMT-GT ในภาพรวม ดังนี้

1.แผนงาน/โครงการสำคัญ ที่มีความคืบหน้าภายใต้แผนดำเนินงานระยะห้าปี พ.ศ. 2560 – 2564 เช่น 

 (1) แผนงานการก่อสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ จำนวน 48 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.24 ล้านล้านบาท) โดยโครงการของไทยที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ อาทิ โครงการด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ โครงการท่าอากาศยานเบตง และโครงการเมืองยาง จังหวัดสงขลา และ

(2) โครงการใน 7 สาขาความร่วมมือ ที่ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 33 โครงการจากทั้งหมด 93 โครงการ อาทิ โครงการท่องเที่ยวเชิงแนวคิด การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างอุทยานธรณีโลก 3 ประเทศ โครงการศึกษาช่องว่างมาตรฐานฮาลาล โครงการเกษตรกร รุ่นใหม่ การจัดทำกรอบความร่วมมือด้านการศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน (CIQ)

โดยความคืบหน้าในการจัดทำแผนดำเนินงานระยะห้าปี พ.ศ. 2565 – 2569 ภายใต้วิสัยทัศน์ พ.ศ. 2579 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ เน้นการขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนการเติบโตอย่างสมดุล การลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนากลไกการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

รวมทั้งได้รับทราบถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการตามแผนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน (SUDF) ของแผนงาน IMT-GT ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการลงทุนในเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดมลพิษจากภาคการขนส่ง และการใช้ประโยชน์ควบคู่กับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีมูลค่าการลงทุนรวม 5,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.72 แสนล้านบาท)     

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีของไทยได้ให้ข้อคิดเห็นว่าแผนการลงทุนตามแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน (SUDF) ของแผนงาน IMT-GT มีความสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวของไทยที่กำลังดำเนินการผลักดันอยู่ และจะต้องเร่งการระดมทุนทั้งจากภายในประเทศและจากแหล่งทุนอื่น ๆ อาทิ กองทุนของอาเซียนและธนาคารพัฒนาเอเชีย ดังเช่นกระทรวงการคลังของไทยที่ได้ออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเพื่อการระดมทุนในโครงการสำคัญ

ในโอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีของไทยยังได้ให้ข้อเสนอแนะ 3 ประการเพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของ IMT-GT ประกอบด้วย

(1) เร่งพัฒนาและต่อยอดโครงการเพื่อสนับสนุนการเป็นจุดหมายปลายทางเดียวกันด้านการท่องเที่ยว

(2) มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูป และ


(3) พัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานฮาลาลให้มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ควบคู่กับการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมฮาลาล ขณะเดียวกันยังเสนอแผนงาน IMT-GT พัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมให้เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ ปรับปรุงกฎระเบียบให้เกื้อหนุนกัน คำนึงถึง
ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และยกระดับศักยภาพแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอนุภูมิภาค   

นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอความสำเร็จของ “โครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ที่ช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2,330 ล้านบาท และประกาศความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำเข้าไทยโดยไม่ต้องกักตัวตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ยังได้เสนอให้ผู้นำของมาเลเซียและอินโดนีเซียสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกับโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ รวมทั้งร่วมกันกำหนดมาตรฐานด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยอย่างรัดกุม

นอกจากนี้มาเลเซียได้เริ่มเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเกาะลังกาวี ขณะที่อินโดนีเซียเริ่มทดลองแล้วที่จังหวัดเรียวไอส์แลนด์

ในช่วงท้ายของการประชุมฯ ผู้นำของทั้งสามประเทศได้ร่วมกันให้การรับรองแถลงการณ์ร่วม การประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 13 แผนงาน IMT-GT โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานร่วมกันในระดับอนุภูมิภาคเพื่อสนับสนุนความพยายามของแต่ละประเทศในการบรรเทาผลกระทบของโรคโควิด-19 และเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพื่อจะก้าวข้ามวิกฤตดังกล่าว ยินดีต่อความก้าวหน้าและความสำเร็จของเจ็ดสาขาความร่วมมือและการกำหนดทิศทางการดำเนินงานในระยะถัดไป รวมทั้งยินดีต่อความก้าวหน้าในการจัดทำร่างแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี พ.ศ. 2565 - 2569 และความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาของแผนงาน IMT-GT

ในปี 2565 รัฐบาลไทยจะทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 14 แผนงาน IMT-GT และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 28 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนงาน IMT-GT