"เพื่อไทย" กระตุก "ประยุทธ์" หวั่น โกงแบบ "ปรส." สมัยต้มยำกุ้ง คืนชีพ

"เพื่อไทย" กระตุก "ประยุทธ์" หวั่น โกงแบบ "ปรส." สมัยต้มยำกุ้ง คืนชีพ

"เพื่อไทย" เตือน "ประยุทธ์" โกงแบบ ปรส. สมัยต้มยำกุ้ง จะคืนชีพ บังคับโอนทรัพย์สินและให้ต่างชาติซื้อที่ดิน ค้าน กู้เงินต่างประเทศ เพราะเสี่ยงสูง แนะ รอให้รัฐบาลใหม่มาฟื้นเศรษฐกิจ

25 ก.ย.2564 นายนพ ชีวานันท์ ส.ส. พระนครศรีอยุธยา รองเลขาธิการและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลต้องยกเพดานเงินกู้หนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลไม่ได้มีความสามารถในการหารายได้มีแต่กู้มาแจกสะเปะสะปะและถูกกล่างหาว่ากู้มาโกง จนทำให้หนี้ของประเทศพุ่งสูงขึ้นมากจนถูกเรียกว่าเป็นรัฐบาลที่ทำให้ “ประเทศหนี้ล้น ประชาชนหนี้ท่วม” ซึ่งเป็นความจริงที่คนสัมผัสได้ชัดเจนและจะมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เสนอให้ประเทศไทยกู้เงิน 1.4 แสนล้านบาท ในรูปเงินตราต่างประเทศ ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้วถึง 2.48 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงไม่ควรจะกู้เงินต่างประเทศ เพราะจะมีความเสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยนที่เศรษฐกิจไทยยังผันผวนและค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงอีกได้จากปัญหาการขาดดุลแฝด (Twin Deficit) คือ ขาดดุลการคลัง และ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกัน ซึ่งหากปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ค่าเงินบาทไทยอาจจะอ่อนค่าลง การกู้เงินต่างประเทศอาจจะมีต้นทุนที่สูงมากได้

ซึ่งในปัจจุบันสภาพคล่องในประเทศยังมีอยู่สูง หากจำเป็นต้องกู้ การกู้เงินบาทในประเทศจะปลอดภัยและจะสามารถควบคุมต้นทุนได้ง่ายกว่ามาก นอกจากนี้จะเป็นการหลีกเลี่ยงข้อครหาการทุจริต เพราะการกู้เงินจากต่างประเทศส่วนใหญ่จะมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นการกู้ ซึ่งไม่อยากคิดว่าที่จะกู้ต่างประเทศเป็นเพราะเหตุนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดว่าประเทศไทยควรกู้เงินจากต่างประเทศในเวลานี้ 

อ่านข่าว :ธปท.หนุนขยายเพดานหนี้สาธารณะฟื้นศก.

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นประเด็นใหญ่และต่อเนื่องกับมาตรการของรัฐบาล ตามที่รัฐบาลมีมาตรการจะโอนหนี้ที่มีปัญหา (ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน) โดยเฉพาะหนี้ของอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมเข้าสู่โกดังเก็บหนี้ (Asset Warehouse) โดยไม่ได้ลดหนี้ ลดดอก หรือ ยืดหนี้ เหมือนต้องการจะยึดทรัพย์สินเหล่านี้เข้าไปกองเก็บไว้ ลักษณะคล้ายกับ องค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ในสมัยวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ซึ่งมีเรื่องครหาการทุจริตการซื้อขายหนี้เสียกันอย่างมาก โดยให้ต่างชาติมาซื้อหนี้ในราคาถูก แล้วต่างชาติกลับมาขายหนี้ให้กับคนไทย และได้กำไรกลับไปเป็นจำนวนมหาศาล ลักษณะเดียวกันนี่กำลังจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่

เพราะรัฐบาลเพิ่งประกาศจะให้ต่างประเทศซิ้อที่ดินและคอนโดได้เมื่อเร็วๆนี้และถูกโจมตีอย่างมาก ดังนั้นการตั้ง Asset Warehouse และ บังคับโอนหนึ้ที่มีปัญหาจำนวนมากเข้าไปเก็บ และ การจะอนุญาตให้ต่างชาติซื้อที่ดินและคอนโดได้ จะเป็นการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตเหมือนกับคดี ปรส. ที่อื้อฉาวในอดีตหรือไม่

คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยจึงอยากเตือนล่วงหน้าและจะจับตามองเรื่องนี้ ไม่ให้มีการเอาทรัพย์สินชาติไปขายแบบมั่วๆ เหมือนในอดีตกันอีก โดยอยากให้รัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการให้รอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ เพราะเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดมาจากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิดและจะเป็นการช่วยการจ้างงานกับประชาชนที่ตกงานกันเป็นจำนวนมากด้วย

ในภาวะวิกฤติ พลเอกประยุทธ์จะต้องมีกรอบคิดให้ชัดเจนว่าจะช่วยผู้ประสบเคราะห์กรรมจากวิกฤตไวรัสโควิดอย่างไร เพื่อช่วยผู้ประกอบการและสนับสนุนการจ้างงาน และอย่าปล่อยให้เปิดช่องให้มีการทุจริตเหมือนในอดีตที่เคยทำกันมาแล้ว

หากพลเอกประยุทธ์ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ควรจะบริหารประเทศนี้ในภาวะเช่นนี้อีกต่อไป และควรรอให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีความรู้ความเข้าใจเข้ามาแก้ไขปัญหาและฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงการกู้เงินเพื่อฟื้นเศรษฐกิจด้วย เพราะพลเอกประยุทธ์จะเพิ่มหนี้โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นเลยเหมือนที่ผ่านมา