คุณค่าของลมหายใจ

คุณค่าของลมหายใจ

การล็อกดาวน์ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เรียนรู้

ในวันที่สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในบ้านเราดูจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากขึ้น

การทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องหาทางเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกับโรคระบาดเช่นนี้ต่อไปอีกในอนาคต

ข้อคิดที่ได้ประการแรกคือ ภาวะไร้พรมแดนของโลกใบนี้ที่เร่งให้การระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็วและผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ก็พร้อมจะส่งผลถึงประเทศเราได้ทุกเมื่อ และข้อสองเราได้เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมในสังคมมากกว่าที่เคย

ข้อที่สาม ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เรียนรู้ แต่เพราะการปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่ถูกล็อกดาวน์หรือทำให้เราต้องหัดทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตัวเอง เช่นการทำอาหาร ทำขนม ทำสวน ฯลฯ จนหลายๆ คนได้อาชีพใหม่ทดแทนอาชีพเดิมที่อาจทำต่อไปไม่ได้

ช่องทางในการขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ไม่ต้องหาเช่าพื้นที่เปิดร้านเหมือนที่ต้องทำในอดีต แต่กลายเป็นว่าโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มสามารถใช้สร้างตลาดออนไลน์ได้ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ้ค ไลน์​ ยูทูบ ติ๊กต็อก ฯลฯ ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องการค้าอีคอมเมิร์ซไปด้วยในตัว

ธุรกิจหลายๆ อย่างที่เทคโนโลยีมีความพร้อมมานานแล้ว แต่ยังเกิดไม่ได้เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยังไม่เอื้อก็กลายเป็นจริงได้แล้วในทุกวันนี้ เช่นเทเลเมดิซีน หรือระบบโรงพยาบาลออนไลน์ เพราะไม่มีใคร อยากไปโรงพยาบาลถ้าไม่จำเป็นจริงๆ การใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อติดต่อแพทย์โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

ข้อที่สี่ แม้โควิดจะสร้างวิกฤติการณ์ในสังคมอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่เราก็ยังเห็นน้ำใจและความช่วยเหลือกันและกันในสังคมเสมอ นับตั้งแต่การระบาดครั้งแรกในบ้านเราเมื่อต้นปีที่แล้วเราเร่งล็อคดาวน์ปิดประเทศอย่างเข้มงวดจนกระทบกับธุรกิจและอุตสาหกรรมจำนวนมาก

หากยังจำกันได้ในช่วงเวลานั้นมีสินค้าจำนวนมากที่ขาดตลาดเช่นหน้ากากอนามัย แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ก็พลังแห่งการให้ของสังคมไทยจัดหาหน้ากากอนามัยมาให้บุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับของจำเป็นอื่นๆ อีกมากมาย เช่นถังออกซิเจน เครื่องช่วยหายใจ แม้กระทั่งอาหารน้ำดื่มเพื่อให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลสนาม

ข้อที่ห้า เราได้ตระหนักในคุณค่าของชีวิตอย่างถ่องแท้ เพราะเรื่องปกติธรรมดาอย่างการ “หายใจเข้าออก” กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเมื่อกลายเป็นผู้ติดเชื้อ สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจ ต้องอาศัยถังออกซิเจนซึ่งทำให้เราได้รู้ทันทีว่าการเป็นคนปกติธรรมดาที่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเองนั้นถือว่าโชคดีมากแล้ว

ถึงแม้จะหายจากการป่วยจนกลับบ้านได้ ผู้ป่วยโควิดที่ติดเชื้อขั้นรุนแรงก็ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูปอดอีกราวๆ 2-3 เดือนเพราะการแพร่กระจายเชื้อในปอดทำให้หายใจได้ไม่เต็มที่จึงไม่อาจทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

การติดเชื้อโควิดทำให้เรากลายเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ติดเชื้อกว่า 219 ล้านคนทั่วโลก แต่นั้นก็ยังดีกว่าการเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตซึ่งมีมากกว่า 4.5 ล้านคน การที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้จึงถือเป็นความโชคดีที่มีมากกว่าหลายๆ คนที่ต้องสูญเสียชีวิตของตัวเอง หรือต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป

เพราะการพรากชีวิตพวกเขาเหล่านั้นไปนั้นไม่เปิดโอกาสให้มีการบอกลา หรือได้แสดงความห่วงใยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเมื่อรู้ตัวว่าติดเชื้อกระบวนการสาธารณาสุขก็จะรับเข้ารักษาพยาบาลและแยกตัวผู้ป่วยทันที หากอาการรุนแรงก็ยิ่งไม่เปิดโอกาสให้ญาติได้เข้าเยี่ยม

การที่ญาติผู้ใหญ่ของเรายังคงอยู่รอดปลอดภัยในวันนี้จึงถือเป็นความโชคดีอย่างมหาศาลเช่นกัน

เราจึงควรตระหนักในความโชคดีดังกล่าวและหมั่นดูแลคนใกล้ชิด หมั่นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข รวมไปถึงคนรอบข้างและสังคมที่ต้องดูแลอย่างเท่าเทียมกัน