‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

“อะไรที่อยู่ในมือ ‘ชาลอต โทณวณิก’ ก็มักจะจบเรียบร้อยเสมอ” เป็นคำกล่าวที่เกินจริงหรือเปล่า คนที่เคยทำงานกับผู้บริหารคนนี้คงรู้ดี...

ถ้าเอ่ยนาม “ชาลอต โทณวณิก” ในแวดวงธุรกิจการเงิน และบันเทิง ไม่มีใครไม่รู้จัก จากนักบัญชีที่ทำงานละเอียดยิบ ผันตัวมาเป็นผู้บริหารหลายองค์กรในรูปแบบที่ต่างกัน

ทุกองค์กรที่ชาลอตเข้าไปร่วมงาน มีโจทย์ที่ท้าทายให้เธอทำเสมอ ตั้งแต่ซิตี้แบงค์,ธนาคารกรุงศรีฯ ,บริษัทในกลุ่มสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี,บริษัทมีเดีย ออฟมีเดีย,ไทยเบฟเวอเรจ

ล่าสุดคือเป็นที่ปรึกษาด้านสื่อสารองค์กร กลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น(MQDC) และมีธุรกิจส่วนตัว เป็นประธานบริษัท อชิโต จำกัด (ACHITO COMPANY Limited) ประกอบกิจการผลิตสื่อโฆษณา รายการบันเทิง เผยแพร่ทางวิทยุโทรทัศน์ ฯ

ทั้งหมดทั้งปวงเป็นการเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น...

‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

ชาลอต เคยมีโอกาสเข้าไปรีแบรนด์แบงค์กรุงศรีฯ นำเรื่องเอนเตอร์เทนมาช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับลูกค้าให้แนบแน่นใกล้ชิดมากขึ้นในช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง

ไม่ว่าสายงานไหนที่เธอเข้าไปบริหารจัดการ เธอขอคิดต่าง และทำสุดชีวิตในแบบของเธอ จนเกิดวลีที่ว่า“อะไรที่อยู่ในมือ ชาลอต ก็มักจะจบเรียบร้อยเสมอ”

แต่ใช่ว่า ทุกเรื่องที่เธอทำ จะสมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ จึงเป็นที่มาของการพูดคุยกับ“จุดประกาย-กรุงเทพธุรกิจ” หลากมุมคิด หลายมุมมอง ทั้งเคล็ดลับความสำเร็จ พลังในการขับเคลื่อนชีวิต อะไรทำให้เธอคนนี้ไม่เคยหมดไฟ...

อยากให้พูดถึงเคล็ดลับการทำงานที่ประสบความสำเร็จ มายาวนานหน่อยค่ะ

สิ่งที่ยึดมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงทุกวันนี้ก็คือ “เราไม่เคยปฏิเสธงาน” ไม่ว่างานเล็ก หรือใหญ่

หากมีการเอ่ยปากว่าให้เราทำ เราไม่เคยบอกว่าไม่ทำ ถือว่างานจะมีคุณค่า เมื่อเราได้สร้างคุณค่าให้กับมัน บางคนอาจจะมองว่าโอ้โห...คุณชาลอตต้องทำงานใหญ่ๆ เท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า บางเรื่องคุยกันตอนเริ่มโปรเจกต์นิดเดียว

แต่เราสามารถขยายเครือข่ายพันธมิตร สร้างการรับรู้ ได้อย่างกว้างขวางก็เลยทำให้งานนั้นดูใหญ่ขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราไม่เคยปฏิเสธงาน แถมยังชอบ “ปั้น” จนงานนั้นสำเร็จออกมาด้วยดี

‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

ยกตัวอย่างงานเล็กๆ ที่สามารถปั้นเป็นงานใหญ่ๆ สักนิด ?

ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปี งาน Money Expo ตอนนั้นทำงานอยู่ที่แบงค์กรุงศรีฯ เราเข้าไปร่วมในปีที่สอง เต็มเติมสีสัน โดย เอาดาราช่อง 7 ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม ชมพู่-อารยา ป๋อ-ณัฐวุฒิ สะกิดใจ ฯลฯ มาที่บูธ กลายเป็น Entertainment Banking ภูมิใจที่ Create สิ่งใหม่ๆขึ้นมา

ต่อมางานมันนี่เอ็กซ์โป ทุกค่ายต้องมีมินิคอนเสิร์ต มีศิลปิน ดารา มาสร้างสีสัน เราคิดต่อยอด โดยนำทุกอย่างมาเชื่อมโยง ก็เลยแหกกฎสถาบันการเงิน ที่ทรงภูมิ ใส่สูท เราทำ Retail Banking ปฏิสัมพันธ์กับคน อยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนให้ได้

ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในตำนานที่ทำให้เกิด Entertainment Banking อันนี้พี่กล้าเคลม เพราะผู้ที่อยู่ในวงการแบงค์ และไม่เด็กเกินไปก็จะรับทราบดี

ก่อนทำงานที่แบงค์กรุงศรีฯ เคยอยู่ Citybank มาก่อนใช่ไหมคะ

ใช่ค่ะ และถือว่า Citybank ได้สร้างบุคลากรเยอะมาก สมัยก่อน Bank ไทย จะไม่มีการแยก Retail ออกมา เช่นเราจะซื้อบ้าน เราต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ พอหลังต้มยำกุ้ง มีการแยกออกมา ทำให้มีการโปรโมท โฆษณา เหมือนขายสบู่ ยาสีฟัน

แต่เราต้องมี Creative Thinking มีอยู่ปีหนึ่ง เราจัดมิสยูนิเวอร์ส ร่วมกับช่อง 7 และ แม็ทชิ่งฯ เอาขบวนนางงามเข้าไปในงาน Money Expo ตอนนั้นคนตื่นเต้นมาก

ปีนั้น นาตาลี เกลโบวา เป็นมิสยูนิเวอร์ส (ปี 2005) เรียกได้ว่าแบงค์กรุงศรีบูธแตก (หัวเราะ) ผู้บริหารแบงค์อื่นก็มาดูบูธเรา

นี่ก็คือสิ่งที่เป็นเรา (ชาลอต โทณวณิก) ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ นางงามมาเกี่ยวอะไรกับการเงิน ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิส มาเกี่ยวอะไรกับธนาคาร คือได้นำเขามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้รายแรกในช่วงที่เขาฮอตสุด เราก็คิดนอกกรอบไปเรื่อยๆ

‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

เพราะคิดนอกกรอบ ทำให้ประสบความสำเร็จเร็ว ?

เราเองไม่ได้คิดอะไรที่ยิ่งใหญ่ พอทำงานแบงค์กรุงศรีฯอายุ 40 กว่า ก็ได้ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ อาวุโส ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกและยังถือว่าอายุยังน้อยสำหรับตำแหน่งนี้ คิดว่าเป็นเรื่องที่คน Trust เรา

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ นอกจากประสบการณ์ และการคิดนอกกรอบแล้ว เรื่องของ Networking พันธมิตร เพื่อนฝูง บวกกับการไม่ปิดกั้นตัวเอง อีกอย่างเวลาเราชวนใครมาร่วมโครงการ เราก็จะคิดถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับด้วย

เพราะฉะนั้นแค่เราเอ่ยปาก คนก็อยากจะมาร่วมงานด้วย แบบไม่ต้องถามด้วยซ้ำว่าเป็นงานอะไร เพราะเขาเชื่อใจว่าเราได้คัดสรรมาแล้ว คือ win win ทั้งสองฝ่าย

แต่ละช่วงชีวิตของการทำงาน มีความยากง่ายต่างกันไหมคะ

เรียนจบบัญชีมา อายุ 23-24 ก็ทำงานที่ Pricewaterhouse เป็นออฟฟิศตรวจสอบบัญชี ไม่ค่อยชอบงานด้านบัญชีซักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าได้เรียนรู้งานจากที่นี่เยอะ เพราะไม่ใช่แค่ตรวจเอกสาร แต่มีการวางระบบองค์กร

เรียนรู้ Workflow งานต่างๆ ทำให้เราทำงานเป็นระบบ ทุกวันนี้ยังทำ Flow เช่น งานนี้มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ตรงไหนเป็นจุดเปราะบาง ตรงไหนต้องแก้ไข ถือเป็นโอกาสที่ดี เราได้คุยกับผู้บริหาร ระดับ CEO เพราะเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี

จากนั้นก็ไปทำงานที่ Citybank ตอนเข้ามาเมืองไทยแรกๆ มี Training เยอะมาก การทำงานระบบฝรั่งไม่ยึดติดอายุ มีอยู่ปีหนึ่งพี่ได้ขึ้นเงินเดือน 100 % เพราะเขาจะดันเราให้ขึ้นไปอีก Level

อยู่ซิตี้แบงค์ 10 ปีได้ประสบการณ์เยอะมาก ถือว่าช่วง 15 ปีแรกของการทำงานเป็นช่วงเรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และมีความก้าวหน้า

แล้วช่วงถัดมาเป็นยังไงคะ

ช่วงต้มยำกุ้งที่มาอยู่แบงค์กรุงศรีฯ ที่ทุกคนแย่หมด แบงค์อยู่ในสภาพที่เหนื่อย หนัก เราได้ใช้ความรู้ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ อย่างเต็มที่ในสายงาน Retail ตอนนั้นสินเชื่อรายใหญ่กำลังแย่

ทำอย่างไรให้สินเชื่อเคหะขับเคลื่อน โดยปล่อยดอกเบี้ย 0 % ไม่ต้องดาวน์ ลูกค้าเราเป็นหมู่บ้านโครงการใหญ่ หากมีเงินหมุนเวียนเข้ามาก็จะไปกันได้ พอไม่มีเงินดาวน์ บ้านแพงแค่ไหน คนซื้อเพราะรู้สึกเชิญชวน

บอร์ดก็ลองกับเราด้วย ปรากฏว่าเกิดการซื้อขาย คนสนใจพร็อพเพอร์ตี้เยอะขึ้น

‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

จากนั้นปี 2547 ก็มีโอกาสไปช่วยด้าน Entertainment ถือว่าเหนื่อยสุด เพราะเปลี่ยนสายไปเลย ไม่มีประสบการณ์ว่าเขาซื้อขายกันยังไง เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดช่อง 7

เราเป็นคนคิดนอกกรอบ ก็เลยไม่ติดกรอบ คิดว่าแหล่งของเงินมาจากไหน คิดว่าต้องผูกกับเอเจนซี่ ก็เริ่มทำโปรโมชั่นกับเอเจนซี่ ทำให้เม็ดเงินกลับมาที่ช่องได้สำเร็จ โดยที่เรตติ้งช่องก็กลับมาดีขึ้นด้วย

ปี 2550 ไปเป็น CEO บริษัทมีเดีย ออฟมีเดีย ธุรกิจดาวเทียมเริ่มมีกฎหมายรองรับ เราก็เห็นโอกาส เปิดช่องโทรทัศน์ดาวเทียมขึ้นมา เดิมมีแต่เคเบิ้ลต่างจังหวัด เอเจนซี่ในกรุงเทพฯไม่รู้เลยว่า คนต่างจังหวัดเขาเสพอะไร

ช่อง 7 เองก็มีละครเยอะ เราก็เอาคอนเทนต์ช่อง 7 ไปทำช่องทีวีดาวเทียม ก็ประสบความสำเร็จ นี่คือการหาโอกาส และการคิดนอกกรอบ อันนี้คนอื่นบอกมานะ

เราไม่ยกตัวเองอยู่แล้วว่าเราเป็นคนมีแบรนด์และเล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ(หัวเราะ) และ ทำเรื่องที่ใหม่ๆ พันธมิตรทั้งหลายไว้ใจเราว่า“อะไรที่อยู่ในมือ ชาลอต โทณวณิก ก็มักจะจบเรียบร้อยเสมอ”

เคยมีข้อผิดพลาดบ้างไหมคะ ?

ก็เคยมองพลาดบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เสียหาย เราก็คนธรรมดา บางครั้งก็มีพลาดบ้าง แต่ก็แก้ไขได้ทัน พอออกจากช่อง 7 พี่ก็ไปอยู่ไทยเบฟเวอเรจพักหนึ่ง

พอถึงจุดหนึ่งอายุ 53-54 ปี เคยทำงานหนักมากทั้งแบงค์กรุงศรี และธุรกิจโทรทัศน์ มีข่าวเกือบทุกวัน ถึงจุดที่เราสูงสุดในชีวิตมากๆแล้ว

ก็เลยไม่คิดหวังว่า เราจะไปเป็นอะไรอีก เรารีแบรนด์แบงค์กรุงศรีจนติดอันดับท็อป ก็เกินความคาดหวังมามาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่าเราเป็นลูกจ้างนะ

สิ่งเหล่านี้คือเราได้รับโอกาส และความเชื่อใจจากผู้ใหญ่ พอเราออกมาก็ไม่คิดว่าจะทำตำแหน่งอะไรอีกแล้ว ไม่หวังว่าจะก้าวไปอยู่จุดไหน ขอเพียงถ้าเราแฮปปี้กับงานเราก็ทำ

โชคดีที่ได้ทำงานกับคุณฐาปน (สิริวัฒนภักดี)ที่ไทยเบฟ ได้ทำงานเพื่อสังคมเยอะมาก ทั้งงานศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และช่วยเหลือชุมชน

ตอนที่ทำรายการโทรทัศน์ของตัวเอง มีแบงค์กรุงเทพมาเป็นสปอนเซอร์หลัก ให้โจทย์ว่าอยากช่วยชุมชน ก็เลยตั้งชื่อรายการว่า “คาราวานสำราญใจ ท่องไปในชุมชน” ออกอากาศช่อง 3 เรตติ้งดีตลอด 4 ปี

ปัจจุบันงานที่ทำก็คือ เป็นที่ปรึกษา บริษัท DTGO Corporation Limited เป็นบริษัทแม่ของ MQDC เรียล เอสเตส เป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์

เพราะฉะนั้นช่วงอายุ 53 จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 10 ปี เป็นช่วงที่ทำเพราะอยากทำ ทำเพราะชอบ และก็ทำเพราะคิดว่ามันมีประโยชน์กับคนอื่นด้วยผู้ก่อตั้ง DTGO และ MQDC เป็นคนคิดที่จะให้กับผู้คนและสังคมประเทศชาติเป็นหลัก

เราเห็นแล้วก็เกิดศรัทธา การทำงานไม่เอาเปรียบใคร คิดถึงคนอื่นก่อน งานที่ทำแล้วแฮปปี้มากก็คือ เป็นส่วนเล็กๆในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม แสงแห่งใจ 450 เตียง มีเอกชนมาร่วมกัน 7 องค์กร MQDC ก็เป็น 1 ใน 7 องค์กร

เราก็มีส่วนช่วยเซ็ทอัพตรงนี้ จะรันไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน คิดว่าถ้าเรามีเงินก็ทำได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าทำงานร่วมกับคนที่มีเงินมากกว่า ที่มีจิตใจให้แท้จริง เราก็จะขยายผลได้มากยิ่งขึ้น

อะไรคือความรื่นรมย์ของชีวิต และความสุข

เมื่อก่อนต้องยอมรับว่า มีเวลาเราก็ไปสปา ไปนวด ไปช้อปปิง อันนั้นเป็นชีวิตในวัยหนึ่ง แต่ตอนนี้มีความรู้สึกว่า โอเค การที่ได้อยู่กับครอบครัว ลูกชายก็โตแล้ว ได้คุยกันแบบผู้ใหญ่ ก็เป็นความสุขมากๆอยู่แล้ว

นอกจากนั้นจากที่เราไปช่วยงานสังคม งานศาสนา มีครูบาอาจารย์ รู้สึกว่าหลังๆ นี้จะชอบไปวัด แต่ตัวเองยังไม่นิ่งขนาดนั่งสมาธินะ ประมาณเหมือนเดิมคือ ชอบไปช่วยงานที่วัดบ้าง แบบทำกิจกรรมให้วัด นั่นคือด้านศาสนา

แต่ความสุขอื่นๆ คิดว่าการที่เราได้ทำอะไร เราสามารถเลือกทำอะไรได้ เพราะชอบ อย่างเช่นมีงานองค์การ การกุศลติดต่อมาอยากให้ช่วยเป็นกรรมการ ก็จะไปแบบนั้น นี่คือการพักผ่อน ความรื่นรมย์ และความสุขของชีวิต ณ ตอนนี้

ในชีวิตคนเราคงต้องมีอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์บ้าง เวลามีสิ่งกระทบจิตใจ มีวิธีจัดการอย่างไรคะ

ถ้าใครรู้จักเราจริงๆ ก็จะรู้ว่าเราเองก็มีหลุมดำในชีวิต อันนี้เราก็ไม่ได้ปกปิดอะไร “หลุมดำในชีวิต” น่าจะเกิดขึ้นระหว่างอายุ 53 ปี ยาวนานเกือบ 10 ปี แม้ว่าจะมีการทำงาน ชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ แต่ก็ถือว่าชีวิตก็ยังมี “หลุมดำ” เจอปัญหาด้านเศรษฐกิจค่อนข้างแรง และหนัก

ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นห่วงความรู้สึกของลูก ตอนนั้นมีบางเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกช็อค สมัยนี้คือซึมเศร้า นั่งนิ่ง เหม่อลอย เพราะเจอเหตุไม่คาดฝันที่รุนแรง และช่วงนั้นได้ลาออกจากงานที่บริษัทมีเดียออฟมีเดีย

แต่ก็ยังมีงานที่ปรึกษา เหมือนคนที่วิ่งเร็วมาตลอด แล้วอยู่ๆ ปิดสวิตซ์แล้วนั่งเฉยๆ แต่เราก็ตัดสินใจเอง ก็เกิดอาการเหม่อลอย เคว้งคว้าง แล้วก็ยังมีเรื่องแรงๆเข้ามากระแทก ตอนนั้นรู้สึก Lost อยู่ประมาณ 3 เดือน น้ำหนักลงไป 13 กิโล ชอบแค่ตอนนั้น น้ำหนักลง (หัวเราะ) แต่ตอนนี้คืนกลับมาหมดแล้ว คือตอนนั้น...กินไม่ได้นอนไม่หลับ

‘เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ ทำ’ คือ Brand ของ ‘ชาลอต โทณวณิก’

พอมาเรียน วปอ.ตอนปี 2553 จะมีพวกเพื่อนสายวัด สายกอล์ฟ อีกหลายสายตามความสนใจมีเพื่อนพาไปเจอ พระอาจารย์ ดีๆ หลายๆท่าน โดยเฉพาะหลวงพ่อพบโชค วัดห้วยปลากั้ง จ.เชียงราย ท่านแนะว่าสายบู๊ไม่ใช่สายเรา ต้องมาทางสายเมตตา

ก็เลยเข้าใจว่าที่ผ่านมาเรารุ่งเรืองในหน้าที่การงาน แต่เรารู้สึกว่าไม่ได้มีความสุขที่แท้จริง ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าคำว่า “สติ” คืออะไร

แสดงว่าช่วงก่อนนั้นไม่มีสติ คิดฟุ้งซ่าน กระเจิง และเข้าใจคำที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้อยู่กับปัจจุบันคืออะไร เพราะก่อนหน้านั้นคิดไปไกล เดี๋ยวเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ทุกอย่างหลอนไปหมด ตอนนี้สิ่งที่ได้คิดคือ “สติ”

และ “ความเมตตา” ทำให้ผ่านพ้นอะไรต่ออะไรมาได้ และคนยังยอมรับในความเป็นเรา มีความรู้สึกว่าเรายังไม่เคยตก

ถ้าถามว่าเวลามีปัญหา เราจะประคองใจยังไง สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว คุมตัวเองไม่อยู่ เฉียดนิดเดียว อาจจะเป็นเส้นสติแตก ตอนนี้เราเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น

พอเราเดินสายเมตตา ช่วยใครได้เราอยากช่วย ภายใต้ศักยภาพของเรานะ ก็เลยทำให้เราไม่มีอะไรคิดลบ เราจะไม่ฟุ้งซ่าน “ความเมตตา” เป็นสิ่งที่มีพลังมากจริงๆ

วางแผนเกษียณไว้อย่างไรคะ

(หัวเราะ) ทุกวันนี้ยังไม่ได้คิด การทำงานหาเงิน หรือรายได้ประจำ เราเกินตรงนั้นไปแล้ว ถ้าเผื่อตอนนี้เรายังมี Value กับเขา(ผู้จ้างงาน) และเรายังแฮปปี้ที่จะทำ ก็ทำต่อไป

องค์กรการกุศลไหนคิดว่าเรามี Value คุยกัน ถ้าใช่เราก็ไปช่วย น่าจะเป็นแบบนั้นมากกว่า ไม่คิดว่าจะเกษียณเมื่อไหร่ แต่คิดว่าเรายังมีประโยชน์หรือเปล่า ไม่ใช่ดึงดันว่าฉันจะต้องอยู่อย่างนี้ไปตลอด

อย่างตอนนี้การเป็นที่ปรึกษา เราก็ยังทำได้ ช่วยงานได้ เป็นการใช้ความคิดและประสบการณ์ เรายังทำได้ ก็ทำต่อไป

............

ภาพ : ศุกร์ภมร เฮงประภากร