'ตาไว' นวัตกรรม ที่ช่วยการตื่นรู้ เท่าทัน ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย

“เราเจอผลิตภัณฑ์สมุนไพรอันตรายผสมสเตียรอยด์ มีผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่หนึ่งถึง 14 ราย บางคนกินจนกระเพาะทะลุ กระดูกพรุนจนเดินไม่ได้ หรือบางรายกินแล้วเกิดอาการทางจิตจนต้องแอดมิทโรงพยาบาล”
เสียงสะท้อนที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจากบุคลากรทางการแพทย์ในเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ "ปัจจัยทางการค้ากำหนดสุขภาพ : มองปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายด้วยกรอบคิดสากล" ซึ่งถูกจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ที่ได้ฉายภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปนเปื้อนสารอันตรายจนเกือบถึงชีวิต
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายไม่ได้อยู่แค่ในร้านชำท้ายหมู่บ้านอีกต่อไป แต่กำลัง "อัพเกรด" ตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ แฝงตัวในทุกหย่อมหญ้าและใกล้มือเราและคนที่เรารักกว่าที่เคย
โดยเฉพาะในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสะดวกสบายเพียงปลายนิ้วคน ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้การซื้อขายเป็นเรื่องง่ายดายแค่ปลายนิ้วแตะสัมผัสหน้าจอเพียงไม่กี่ครั้ง กำลังกลายเป็นช่องทางให้ "ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย" แพร่ระบาดอย่างหนักผ่านกลยุทธ์การตลาดที่ซับซ้อนและแนบเนียน
การเข้าถึงนี้ยังรวมไปถึง "ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย" ซึ่งเป็นอีกภัยเงียบที่แฝงมาอย่าง "เนียนๆ" ซึ่งปัจจุบันกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในสังคมไทย ที่มาพร้อมกลยุทธ์การตลาดที่ซับซ้อน โดยอาศัยกลยุทธ์ทางธุรกิจแทรกซึมมาอย่างหลากหลายและกระจายเป็นวงกว้าง กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีเพียง "หยิบมือ" ยากจะเอื้อมมือไปถึง หรือเข้ามาขจัดปัดเป่าปัญหาแบบสิ้นซาก
เพื่อตีแผ่ความจริงเบื้องหลังขบวนการค้า ผลิตภัณฑ์สุขภาพอันตราย เวทีนี้จึงนำเสนอข้อเท็จจริง ตลอดจนทางออก ผ่านนวัตกรรมที่เปลี่ยนบทบาทประชาชนจากเหยื่อให้กลายเป็นผู้เฝ้าระวัง
ถอกบทเรียนจากความเจ็บปวด
อ.ดร.ภญ.พิชญา นวลได้ศรี จากคณะเภสัชศาสตร์ ม.อ. สะท้อนภาพความจริงในอุตสาหกรรมสุขภาพสีเทานี้ว่า ที่มาของ ภัยสุขภาพ นี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากฝั่งอุปสงค์ นั่นคือผู้บริโภคมักต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและหลงเชื่อ Influencer จนหันไปพึ่งพาผลิตภัณฑ์นอกระบบทำให้ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เหล่านี้ "อัพเกรด" ตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ แฝงตัวในกลุ่มปิดและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ยิ่งทำให้การเข้าถึงง่ายดายกว่าที่เคย ข้อมูลที่น่าตกใจคือความเสียหายในแอปพลิเคชันซื้อขายออนไลน์เพียงแห่งเดียวอาจสูงถึง 5.5 ล้านบาท และยังพบผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายวางขายอย่างเปิดเผย เช่น ยาหงส์จินดามณี หรือสมุนไพรตรานกขุนทอง ซึ่งแพทย์ยืนยันว่าการได้รับสเตียรอยด์สะสมจากยาเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยกระดูกพรุน เดินไม่ได้ หรือเสียชีวิต
ในด้านห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน ดร.ภก.ชวลิน อินทร์ทอง จากหน่วยนวัตกรรมเพื่อผู้บริโภค คณะเภสัชศาสตร์ ม.อ. ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ "ไซบูทรามีน" (Sibutramine) สารอันตรายที่มักแอบใส่ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก โดยระบุว่าปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดคือการค้าข้ามแดนและช่องทางออนไลน์ที่ยากจะควบคุมต้นทาง
เทคนิคสำคัญคือการลักลอบนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติคราวละน้อยๆ เช่น 1 กิโลกรัม ซึ่งดูเหมือนน้อยแต่สามารถนำไปผลิตยาได้ถึง 100,000 เม็ด เจ้าของแบรนด์บางรายอาจร่วมมือกับโรงงาน หรือบางกรณีโรงงานก็แอบใส่สารเองโดยเจ้าของไม่รู้เพื่อเน้นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว รวมถึงการกระหน่ำด้วยโฆษณาถึงสรรพคุณที่ "เกินจริง" เพื่อล่อลวงใจให้ผู้บริโภคเกิดความอยากใช้อยากทดลอง
ดร.ภก.ชวลิน ยังกล่าวเสริมว่าเหยื่อส่วนใหญ่มักยอมรับความโชคร้ายแทนการฟ้องร้อง เพราะความอับอายหรือความไม่รู้ ส่งผลให้ผู้ผลิตยังคงแสวงหากำไรบนความตายต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ รศ.ดร.ภก.ภาณุพงศ์ พุทธรักษ์ หัวหน้าโครงการฯ ได้ลงลึกถึงกลยุทธ์การสร้าง "อุปสงค์เทียม" ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อที่เล่นกับความหวังและความกลัวของผู้บริโภค เช่น การการันตีผลลัพธ์ว่า "หายขาด" ในโรคเรื้อรัง หรือ "ผอมภายใน 7 วัน" รวมถึงการแฝงตัวในชุมชนออนไลน์และห่วงโซ่อุปทานสีเทาที่ลักลอบนำเข้าวัตถุดิบยาอันตรายมาแบ่งบรรจุในโรงงานที่ไม่มีมาตรฐาน ก่อนกระจายสู่ตลาดผ่านระบบตัวแทนจำหน่ายที่ยากจะตรวจสอบ
นวัตกรรม "ตาไว" เครือข่าย "ดวงตาสับปะรด" เพื่อรู้เท่าทัน
เมื่อกลไกการกำกับดูแลแบบเดิมเริ่มตามไม่ทันกระแสการค้าสีเทา นวัตกรรมที่ชื่อว่า "ตาไว" (TaWai for Health) จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของ สสส. เพื่อเปลี่ยนบทบาทประชาชนให้กลายเป็น "อาสาสมัครเฝ้าระวัง" โดยระบบนี้เริ่มต้นจากการทำงานวิจัยและพัฒนาสู่คอมมูนิตี้แห่งการแจ้งเตือนภัย
ดร.ภก.ชวลิน อธิบายถึงกลไกการทำงานว่า "ตาไว" แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือเว็บแอปพลิเคชันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เภสัชกร และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มผลิตภัณฑ์อันตรายในพื้นที่ ส่วนที่สองคือ LINE Chatbot ที่ออกแบบมาให้ภาคประชาชนอย่าง อสม. ใช้งานได้ง่ายที่สุด เพียงแค่ถ่ายรูปผลิตภัณฑ์ที่สงสัยแล้วส่งข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน LINE ระบบจะทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อแจ้งเตือนภัยผ่านเว็บเพจ "ตาวัยรุ่น รู้ทันภัยสุขภาพ" เพื่อคืนข้อมูลสู่สังคม
ซึ่งมีข้อมูลสถิติจากแพลตฟอร์ม "ตาไว" ในปี 2565-2568 สะท้อนภาพวิกฤตที่ชัดเจน โดยพบการรายงานผลิตภัณฑ์อันตรายในระบบถึง 9,635 รายการ แบ่งเป็นรายงานโฆษณาเกินจริงถึง 45.8% รายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ 44% และรายงานผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยอีก 10.2% โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคอีสานพบอัตราการรายงานสูงเป็นพิเศษ
ทางออกสกัดกลยุทธ์ "กำไรบนความทุกข์ของผู้บริโภค"
ดร.ณัฐพันธุ์ ศุภกา ผู้อำนวยการสำนักนโยบาย ยุทธศาสตร์ และนวัตกรรม สสส. ได้อธิบายถึงเบื้องหลังความร่วมมือนี้ว่า สสส. มุ่งเน้นการจัดการ "ปัจจัยทางการค้าที่กำหนดสุขภาพ" ซึ่งเป็นกรอบความคิดสากลที่มองว่ากลยุทธ์การตลาดมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน
"สสส. ร่วมกับ ม.อ. และภาคี พัฒนาโครงการนี้ขึ้นเพื่อศึกษาปัจจัยด้านการค้าที่ส่งผลต่อการซื้อขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย เราพบว่ากลยุทธ์ภาคการตลาดเหล่านี้มีผลอย่างมากในการทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้า โดยที่บางทีไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง หรือไม่มีกลไกช่วยตรวจสอบ สสส. จึงมุ่งสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบก่อนซื้อ และลดอคติที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อผ่านข้อมูลงานวิจัยที่จับต้องได้" ดร.ณัฐพันธุ์ กล่าว
นอกจากนี้ ดร.ณัฐพันธุ์ ยังย้ำว่างานวิจัยนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การหาข้อมูล แต่ต้องนำไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงด้านการค้า และสร้างแนวปฏิบัติด้านสาธารณสุขในการป้องกันและดูแลสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน
โดย สสส. มีแผนจะนำบทเรียนจากประเทศไทยไปนำเสนอในเวทีวิชาการระดับชาติในปี 2569 และเวทีระดับนานาชาติในปี 2570 เพื่อสะท้อนความสำเร็จของกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนไทย
ก้าวต่อไปสู่การคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก
หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบันคือความไร้ขอบเขตของโลกออนไลน์และช่องทางข้ามแดนที่หาต้นทางได้ยาก เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ คณะผู้วิจัยและ สสส. จึงได้เสนอแนวทางเชิงนโยบายที่เน้นการบูรณาการและการปฏิบัติที่จับต้องได้จริง ในหลายมิติ อาทิ การบูรณาการระบบดิจิทัล สนับสนุนให้กระทรวงสาธารณสุขนำแพลตฟอร์ม "ตาไว" ผนวกเข้ากับระบบ Digital Health ของประเทศ เพื่อให้การเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์อันตรายกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันความปลอดภัยทางสุขภาพระดับชุมชน
การเรียกร้องให้กระทรวงดิจิทัลฯ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ต้องมีมาตรการคัดกรองสินค้าที่เข้มงวดและร่วมรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของสินค้าที่วางจำหน่าย การบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามต้นน้ำ โดยสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งเน้นการสืบสวนหาต้นตอการผลิตและการลักลอบนำเข้า รวมถึงเส้นทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการใช้พลังท้องถิ่นด่านหน้า โดยสนับสนุนให้อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบทบาทหลักในการตรวจสอบตลาดนัดและร้านชำในพื้นที่ และสร้างวัฒนธรรม “เอะใจ ตรวจสอบ รายงาน” ให้เป็นวิถีชีวิต
สุขภาพที่ดีไม่มีทางลัด
ที่สำคัญคือความปลอดภัยในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการมีข้อมูลที่ถูกต้องและความกล้าที่จะปฏิเสธผลิตภัณฑ์ลวงโลก เพื่อให้คนไทยไม่ต้องตกเป็น "ตัวเลขสถิติ" ของความสูญเสียในรายงานฉบับถัดไป ก้าวต่อไปของสังคมไทยคือการสร้างระบบนิเวศสุขภาพที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังแห่งการตื่นรู้และหัวใจที่ "ตาไว" ต่อทุกภัยสุขภาพ
ดังนั้น การมีกลไก "ตาไว" จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่นวัตกรรมสุขภาพเท่านั้น หากแต่ทุกฝ่ายยังมีความคาดหวังว่านี่คือดวงตาหรือยามผู้เฝ้าระวังของสังคมที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ซึ่งทั้งนี้ความสำเร็จของ "ตาไว" จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากความร่วมมือและบูรณาการระหว่างกันตั้งแต่นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย บุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงอาสาสมัครในพื้นที่ รวมถึงประชาชนคนไทยทุกคน
เป็นอีกความหวังที่ทุกฝ่ายในเวทีแห่งนี้ คาดหวังว่า "ตาไว" จะมีส่วนช่วยเปลี่ยนจาก ‘เหยื่อ’ ให้กลายเป็น "นักเฝ้าระวัง" โดยเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยหยุดวงจรการแสวงหากำไรบนความเจ็บปวดของประชาชน







