กรมชลฯปักธงโครงการ PIS เป้าหมายชลประทานสู่การบริหารน้ำอัจฉริยะ

กรมชลฯปักธงโครงการ PIS เป้าหมายชลประทานสู่การบริหารน้ำอัจฉริยะ

กรมชลฯปักธงโครงการ PIS  เป้าหมายชลประทานสู่การบริหารน้ำอัจฉริยะ

การบริหารจัดการน้ำแบบครบทั้งระบบ สามารถวิเคราะห์ได้ทุกมิติ และตลอดทุกช่วงเวลา เป็นนโยบายท้าทายที่กรมชลประทานอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารจัดการน้ำในอนาคตแบบไร้ข้อจำกัด  ซึ่งจากวิกฤติไวรัสโควิด-19  ที่เกิดในปี2563 ต่อเนื่อง 64  ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยให้การบริหารน้ำได้เต็มกำลังแม้สถานการณ์จะมีข้อกำจัดเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่ากรมชลประทานอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ”มุ่งเป้าสู่การชลประทานอัจฉริยะ(The Project  for Irrigation toward Smart (PIS)”  ซึ่งจะเป็นการบริหารจัดการน้ำโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสมมาบริหารจัดการได้ตลอด 24  ชั่วโมง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานกรมชลประทาน เป็นการผสานระหว่างคนและเครื่องมือ โดยจะเริ่มพัฒนาระบบปี 2564 เป็นต้นไป  เพื่อลดข้อจำกัดในเรื่องจำนวนบุคลากรและอุปสรรคที่คาดไม่ถึง ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทานแล้ว     เป้าหมายโครงการ 10 ปี เนื่องจากโครงการนี้จะเป็นลักษณะของการพัฒนา ปรับปรุง แก้ไขให้มีการนำเทคโนโลยีปรับเข้ามาใช้ตามภาวะงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่กรมจะมีการตั้งให้มาสอดรับกับพันธกิจที่วางไว้  โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหาพื้นที่ทำโครงการนำร่อง 1 แห่ง คาดว่าจะเริ่มในปี 2565-66  เพื่อจัดวางระบบให้ครบสมบูรณ์และวัดผลสัมฤทธิ์ได้ใน 1 ปีก่อนที่จะขยายชุดโครงการนี้ไปยังโครงการชลประทานทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาไปสู่การบริหารจัดการน้ำแบบอัจฉริยะ  ที่แม่นยำ มีความทั่วถึง และเป็นธรรม โดยประชาชนมีส่วนร่วม

162652024139

ทั้งนี้รูปแบบการบริหารจัดการชลประทานอัจฉริยะ  จะมีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยต้นน้ำจะมีเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ มีระบบโทรมาตร เพื่อให้ทราบถึงปริมาณน้ำไหลลงอ่างที่สามารถติดตามได้ตลอด  24 ชั่วโมง   ข้อมูลจากระบบโทรมาตรที่วัดได้จะส่งมายังศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC) กรมชลฯสามเสน เพื่อเป็นข้อมูลใช้ในการพยากรณ์และวางแผนบริหารจัดการ ประกอบการพิจารณาจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณฯน้ำต้นทุนที่มีอยู่และเหมาะสมกับความต้องการใช้จริงและป้องกันอุทกภัย  จากนั้นคำสั่งจากSWOC ที่สามเสน จะส่งไปยังที่ SWOC สำนักงานชลประทาน(สชป.) ที่ดูแลในพื้นที่ควบคุมบานประตูน้ำ(SCADA)   ที่มีหน้าที่บริหารตรวจวัดอัตราการไหลของน้ำและควบคุมบานประตูน้ำอัตโนมัติ    ทำการเปิด-ปิด  บานระบายอัตโนมัติตามข้อสั่งการ โดยระบบจะเชื่อมโยงทั้งหมดสามารถเช็คได้จากส่วนกลางเพื่อให้การจัดการน้ำบรรลุตามพันธกิจ

สำหรับโครงการ PIS เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้กรมชลฯจะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านบริหารจัดการน้ำเพื่อชลประทานอัจฉริยะเพิ่มในหลายด้านเพื่อทำให้ข้อมูลที่ส่งมา SWOC กรมชลฯสามารถพยากรณ์และเตือนภัยได้อย่างแม่นยำ    อาทิ การจัดให้มีโทรมาตรในอ่าง โทรมาตรวัดพฤติกรรมเขื่อน โทรมาตรระดับลุ่มน้ำ   การพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมบานระบายน้ำ(SCADA) ของswoc  ของสชป.  การพัฒนาฝายพับได้ และการทำโมเดลคำนวณความต้องการใช้น้ำ   การพัฒนาUAV  หรือโดรน(UAV  sensor ) ซึ่งกรณีโดรนอนาคตจะพัฒนาให้สามารถตรวจสอบแปลภาพจำแนกชนิดพืชได้  ติดตั้งเครื่องวัดความชื้นในดิน วัดระดับน้ำในแปลงนา เพื่อคำนวณความต้องการใช้น้ำได้ เพื่อความแม่นยำในการจัดสรรน้ำให้พื้นที่

 

162652025537

“ ปัจจุบันการพัฒนาศักยภาพองค์การตาม PIS นี้ได้ดำเนินการมาตลอดในช่วง 2ปีที่ผ่านมาแต่ยังไม่ได้ยกระดับให้เป็นเป้าหมายชัดเจน เพื่อให้กรมมีหน้าที่พัฒนาต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้   เป้าหมายโครงการคือหาเทคโนโลยี เครื่องมือมาช่วยเสริมการทำงานให้สมบูรณ์  เป็นการผสานระหว่างคน กับเทคโนโลยี เพราะบางพื้นที่กว้างขว้างมากแต่จำนวนคนจำกัด  ดังนั้นเครื่องมือ เช่น โทรมาตรกรมก็มีแล้ว จัดวางไว้ครบ 22 ลุ่มน้ำ แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกมิติ    การเปิด-ปิด บานระบายยังต้องใช้คนในการทำงาน บางครั้งอาจไม่ทันต่อเหตุการณ์ การมีscada  ทำให้สามารถสั่งการได้ทันที แต่หากติดขัดคนในพื้นที่ก็ค่อยลงไป   การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้จะดำเนินการโดยสำนักสำรวจด้านวิศวกรรมและธรณีวิทยาของกรมชลฯ ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือใช้ในงานชลประทานได้หลายชนิดและได้ผลเป็นที่น่ายินดีบางชนิดได้รับรางวัล ในขณะที่ด้านบุคลากรจะต้องมีการพัฒนาให้สอดรับกับโครงการ “ ดร.ทวีศักดิ์กล่าว 

รองอธิบดีกรมชลฯกล่าวด้วยว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้โครงการนี้สำเร็จคือความร่วมมือของประชาชน เกษตรกร ดังนั้นโครงการนี้จะต้องทำให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากชุดข้อมูล เช่นประชาชน เกษตรกรสามารถเข้าดูข้อมูลการระบายน้ำในโครงการ รอบเวรการส่งน้ำ และร่วมไปถึงนำไปวางแผนการเพาะปลูกได้อีกด้วย โดยกรมจะพัฒนาช่องทางสื่อสารให้เชื่อมโยงกับประชาชน  เพราะเทคโนโลยีทั้งหมดที่กรมดำเนินการก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน.