เด็กไทยเข้าสู่ 'ตลาดแรงงาน' อยู่ในภาวะ 4เสี่ยง

เด็กไทยเข้าสู่ 'ตลาดแรงงาน' อยู่ในภาวะ 4เสี่ยง

กสศ.- มธ. ร่วมสร้างแบบประเมินความพร้อมก่อนเข้าสู่ 'ตลาดแรงงาน' ในกลุ่มเด็ก ม.3 เผยเด็กไทยอยู่ในภาวะ 4เสี่ยง 'เสี่ยงเรียน เสี่ยงจิต เสี่ยงชีวิต และเสี่ยงเหลื่อมล้ำ' ผุดเครื่องมือช่วยสแกนทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการทำงาน

ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะหัวหน้าโครงการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินความพร้อมของเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน กล่าวว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 'กสศ.' ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้จัดทำโครงการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินความพร้อมของเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่ 'ตลาดแรงงาน'

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องมือสำรวจสถานะความพร้อมของเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่'ตลาดแรงงาน'ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของไทย และพัฒนาต้นแบบ (Prototype) ระบบประเมินความพร้อมในการเข้าสู่'ตลาดแรงงาน'แบบ ออนไลน์ พร้อมทั้งระบบฐานข้อมูลที่พร้อมรองรับข้อมูลรายจังหวัดทั่วประเทศ

ด้วยการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลสถานะความพร้อมในการเข้าสู่'ตลาดแรงงาน'ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นใน 5 จังหวัด จำนวน 1,200 คน ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนทราบระดับความพร้อมและสามารถค้นหาอาชีพที่ตนเองต้องการ ช่วยให้เกิดแรงจูงใจในการศึกษาเล่าเรียน ลดอัตราการออกกลางคัน ลดการทำงานไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา

นอกจากนี้แล้ว Career Readiness Survey จะให้ข้อมูลแก่หน่วยงานในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ที่สามารถนำไปใช้กำหนดแผนยุทธศาสตร์และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อปรับทิศทางการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของ'ตลาดแรงงาน'ได้ด้วย

  • เด็กไทยอยู่ในภาวะ 'เสี่ยงเรียน เสี่ยงจิต เสี่ยงชีวิต และเสี่ยงเหลื่อมล้ำ'


สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้นักเรียนไทยตกอยู่ในภาวะ 4 เสี่ยง ได้แก่ 'เสี่ยงเรียน เสี่ยงจิต เสี่ยงชีวิต และเสี่ยงเหลื่อมล้ำ' เด็กต้องเรียนออนไลน์ เสี่ยงต่อการการเรียนตกต่ำและถดถอยลง เด็กเก่งหรือเด็กที่มีความพร้อมยังพอประคองเอาตัวรอดไปได้ แต่สำหรับเด็กที่ไม่มีความพร้อมจะยิ่งถูกทิ้งห่างออกไปไกล จึงเกิดช่องว่างเด็กเก่งกับเด็กอ่อน เมื่อเจอสภาพแบบนี้เด็กจะเกิดความกดดัน เพราะเรียนไม่รู้เรื่องดร.เกียรติอนันต์ กล่าว

ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็เจอกับสภาพฝืดเคืองทางการเงิน กลายเป็นความกดดันจากครอบครัว ส่งผลเสี่ยงต่อสุขภาพจิต อีกทั้งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เด็กที่มีน้องเล็กก็ต้องดูแลน้อง ขณะที่พ่อแม่ก็มีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปต้องดิ้นรนมากขึ้น เป็นความเสี่ยงในชีวิตที่ไม่มีความแน่นอนทั้งเรื่องการเรียน การเงิน และโรคระบาด สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งนำไปสู่ 'ความเหลื่อมล้ำ'ระยะยาว ระหว่างเด็กที่มีความพร้อมกับเด็กที่ไม่พร้อม

ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวอีกว่า แบบประเมินที่ใช้จะทดสอบทักษะที่จำเป็น 5 มิติ ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการทำงานประกอบด้วย

1. การคำนวณพื้นฐานสำหรับใช้ในการทำงาน

2. พื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันที่จำเป็นในการทำงาน

3. ทักษะการสื่อสารเพื่อความเข้าใจในการทำงาน

4. ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์

5. ทักษะทางสังคมและการทำงาน (Soft Skill) เช่น บุคลิก ความเป็นผู้นำ เป็นต้น

จากการประเมินผลเด็กในกลุ่มตัวอย่างพบว่าเด็กกว่า ร้อยละ 50 ไม่มีความพร้อมสำหรับ 'ตลาดแรงงาน' ร้อยละ 40 อยู่ในระดับปานกลาง และมีเพียง ร้อยละ 10 เท่านั้นที่อยู่ในกลุ่มที่มีทักษะเหมาะสม โดยทักษะที่มีปัญหามากที่สุดคือทักษะด้านการคำนวณพื้นฐาน และทักษะด้านการสื่อสารพื้นฐาน ซึ่งแบบประเมินความพร้อมฯ ที่จัดทำขึ้นจะเป็นเครื่องมือช่วยหาแนวทางพัฒนาเด็กที่จะเข้าสู่'ตลาดแรงงาน'หลังจบ .3 ได้เหมาะสม

  • เด็กเข้าสู่ 'ตลาดแรงงาน'ร้อยละ90 ขาดทักษะฝีมือ

จากการสำรวจพบว่า เด็กที่เข้าสู่ 'ตลาดแรงงาน'หลังจบ .3 กว่าร้อยละ 90 เป็นแรงงานที่ขาดทักษะฝีมือ ไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง และไม่สามารถพัฒนาเป็นฝีมือแรงงานได้ ทำให้ได้รับค่าจ้างต่ำ และรับค่าจ้างระดับนั้นไปตลอดชีวิต ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้มักสมรสในกลุ่มเดียวกัน เป็นการส่งต่อความยากจนและความเหลื่อมล้ำจากรุ่นสู่รุ่น

แต่หากเราสามารถพัฒนาให้เด็กมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นครบถ้วน จะเป็นการสร้างโอกาสในการทำงานที่มีรายได้มากขึ้นรวมถึงมีโอกาสที่เขาอาจจะศึกษาได้ตามอัธยาศัย หยุดการส่งต่อความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องต่าง ลงได้ในที่สุด

ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวต่อไปอีกว่า แบบประเมินฯ จะช่วยให้สถานศึกษาชี้เป้าได้ว่า เด็กแต่ละคนควรได้รับการพัฒนาทักษะด้านใด และสถานศึกษายังสามารถพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะกับการพัฒนาเด็ก โดยโรงเรียนสามารถสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ร่วมกับนายจ้าง ปราชญ์ชุมชน และพ่อแม่ เพื่อจัดทำหลักสูตรพัฒนาเด็กให้มีความพร้อมก่อนเข้า'ตลาดแรงงาน'ได้อย่างเหมาะสม ตามบริบทของสังคม ซึ่ง ขณะนี้โครงการฯ ได้จัดทำแบบประเมินต้นแบบในเฟสแรกเรียบร้อยแล้ว โดยระยะต่อไปจะนำแบบประเมินดังกล่าวไปใช้กับโรงเรียนที่เป็นเครือข่ายของ กสศ. จำนวน 34 แห่ง

ต่อจากนั้น จะขยายผลไปสู่การใช้ประเมินเด็กทั่วประเทศ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการใช้แบบประเมินความพร้อมของเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่'ตลาดแรงงาน'จะช่วยพัฒนาเด็กที่ไม่พร้อมให้มีทักษะและตรงกับความต้องการของ'ตลาดแรงงาน'มากขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องต่าง ลงได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง