'รองหัวหน้าพรรคทันสมัย' พบ รมว.คลัง หาแนวทางช่วย 'เอสเอ็มอี' เข้าถึงสินเชื่อ

'รองหัวหน้าพรรคทันสมัย' พบ รมว.คลัง หาแนวทางช่วย 'เอสเอ็มอี' เข้าถึงสินเชื่อ

'ปริญญ์ หนุนจุรินทร์' ช่วยผู้ประกอบการร้านอาหาร หาแนวทางช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ ลดความเดือดร้อนจากวิกฤต 'โควิด-19'

5 มิ.ย.2564 นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พร้อมด้วยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นำตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เข้าพบ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือร้านอาหารให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม หลังได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตโควิด-19 สานต่อเจตนารมณ์ ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงพาณิชย์

โดยนำคณะตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร อาทิ นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย นายประวิทย์ จิตนราพงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด นายชุมพล แจ้งไพร อุปนายกสมาคมเชฟแห่งประเทศไทย นายเจตุบัญชา อำรุงจิตชัย เจ้าของแฟรนไชส์สตรีทฟู้ด ลูกชิ้นจัง และนายวิน สิงห์พัฒนกุล ผู้บริหารร้านช็อกโกแลต วิลล์ เข้าพบรมว.กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือร้านอาหารให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมในช่วงวิกฤตโควิด-19 สานต่อการให้ความช่วยเหลือที่กระทรวงพาณิชย์ได้ริเริ่มไว้แล้ว 

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมร้านอาหารเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเชื่อมไปถึงสินค้าเกษตร ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม ผู้ประกอบการจำนวนมากประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และนโยบายการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทย การเจรจาพักเงินต้น - พักดอกเบี้ยสินเชื่อได้ เนื่องจากกฎเกณฑ์ผู้ขอสินเชื่อที่กำหนด ไม่สอดคล้องกับภาวะวิกฤต 
ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยการนำของท่านจุรินทร์ ได้จัดทำโครงการบรรเทาความเดือดร้อนของธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการพาณิชย์ลดราคา ช่วยประชาชน ที่ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ ลดค่า GP เหลือ 25%

รวมถึงโครงการเชื่อมโยงสถาบันการเงินกับผู้ประกอบการร้านอาหาร จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อการเตรียมตัวก่อนกู้สำหรับร้านอาหารไทย และวันที่ 7 มิ.ย. กระทรวงพาณิชย์จะเปิดตัวโครงการใหม่ "โครงการจับคู่กู้เงิน" โดยหาสถาบันการเงิน ปล่อยกู้ให้กับร้านอาหารในกรณีพิเศษ ดอกเบี้ยต่ำ และบางกรณีไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ ซึ่งจะทำให้ร้านอาหารเข้าถึงสถาบันการเงิน ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ประกอบการร้านอาหาร ทั่วประเทศกว่า 1 แสนร้าน โดยสามารถติดต่อได้ที่พาณิชย์ทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ดังกล่าว ทีมเศรษฐกิจทันสมัย ปชป. จึงได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของผู้ประกอบการร้านอาหาร เพื่อส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดทำมาตรการความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป 

โดยครั้งนี้ได้รับเกียรติจากรมว.กระทรวงการคลังให้นำตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารเข้าพบเป็นกรณีพิเศษ เพื่อรับฟังและร่วมหารือถึงแนวทางในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้ คือ ติดเงื่อนไขประวัติหนี้เสียจากเข้าโครงการพักชำระหนี้ เสตทเม้นท์ไม่เข้าเงื่อนไขการขอสินเชื่อ เพราะไม่มีการเดินบัญชีในช่วงวิกฤตโควิด ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เช่า รวมทั้งสถาบันการเงินมักจะพิจารณาลูกค้าตัวเองเป็นหลัก และเป็นลูกค้าชั้นดี ที่มีศักยภาพในการประคับประคองกิจการอยู่แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงขนาดกลางเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งจะก่อให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ตามมา เพราะธุรกิจร้านอาหารเกี่ยวเนื่องกับหลายภาคส่วน หากร้านอาหารจำนวนมากต้องปิดตัวลง จะทำให้หลายธุรกิจล้มตามกันไปทั้งกระดาน 

โดยมีข้อเสนอถึงกระทรวงการคลัง คือ ให้ภาครัฐออกมาตรการพักชำระ ต้น - ดอก 6 เดือนถึง 1 ปี โดยรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยแก่ธนาคารแทนผู้ประกอบการ ขอให้ผ่อนปรนเงื่อนไขการขอกู้วงเงินเดิมที่ธนาคารของรัฐยังคงมีเหลือให้เหมาะสมกับ สถานการณ์วิกฤต เช่น กำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผ่อน 3-5 ปี ใช้บสย.ค้ำประกันโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์จำนอง และใช้ฐานการเสียภาษีตามแบบแสดงรายได้ ภงด.90 สำหรับผู้ประกอบการแบบบุคคล และภงด. 50 สำหรับนิติบุคคล เป็นต้น ขอแบ่งวงเงินตามมาตรการพักทรัพย์พักหนี้จำนวน 2 หมื่นล้าน ให้สิทธิกับผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีสถานประกอบการเป็นของตัวเอง จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสนับสนุนกิจการร้านอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตอีกในอนาคต 

"ผมเชื่อว่าในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 การช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทั้งภาครัฐ เอกชน และรัฐวิสาหกิจ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยต่อลมหายใจให้ธุรกิจร้านอาหารให้อยู่รอดและเข้มแข็งขึ้น ทางมูลนิธิเสนีย์ ปราโมชได้มีแนวทางจัดซื้อข้าวกล่องจากร้านอาหารชุมชนเพื่อไปแจกให้ครอบครัวผู้กักตัว เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสนับสนุนร้านชุมชนและช่วยแก้ปัญหาปากท้อง" นายปริญญ์กล่าว 

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ยินดีรับเรื่องราวความเดือดร้อนดังกล่าวไว้ และจะหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารเข้าถึงสินเชื่อ ขอให้ทุกท่านไม่ต้องกังวล เพราะธุรกิจร้านอาหารเป็นหนึ่งในธุรกิจเอสเอ็มอีประเภทท่องเที่ยวที่รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว และกระทรวงการคลังเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี จะพยายามทำในขอบเขตความสามารถที่ทำได้ให้ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตามงานด้านนโยบายเป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องหารือกับหลายฝ่าย และต้องใช้เวลาในการดำเนินการ