ประธานเฟทโก้ ชี้ ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าครึ่งปีหลัง64

ประธานเฟทโก้ ชี้ ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าครึ่งปีหลัง64

“เฟทโก้”เผย ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน3เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้น 1.5% อยู่ที่ 132.55 อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเป็นเดือนที่2 คาดฟันด์โฟลว์ไหลเข้าครึ่งหลัง กำไรบจ.โต 40% วัคซีนมาตามไทม์ไลน์ ส่วนผลกระทบรัฐประหารในพม่ากระทบธุรกิจไทยจำกัด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจในเดือนม.ค. 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เม.ย.)อยู่ที่ระดับ 132.55 เพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่2

ทั้งนี้จากนักลงทุนคาดหวังเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือคาดหวังการคลี่คลายสถานการณ์แพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่มีข่าวดีเรื่องวัคซีนที่ทยอยออกมา และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

ขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ โควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ รองลงมาคือ สถานการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ

กลุ่มหุ้นที่นักลงทุนยังสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERGY) มากที่สุด รองลงมาคือหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO) และหมวดพาณิชย์ (COMM) ขณะที่นักลงทุนเห็นว่าหมวดเหล็ก (STEEL) ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) และหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT)

นายไพบูลย์ กล่าวว่า คาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น โดยมองว่าดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,600 จุด เพราะฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว รวมทั้งกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ยังเติบโต 40% และคาดการแจกจ่ายวัคซีนของไทยจะเป็นไปตามเป้าหมายสัดส่วน 50%ของประชากร

ส่วนการเกิดรัฐประหารในพม่าคาดว่า มีผลกระทบต่อบจ.ไทยจำกัด ซึ่งในส่วนของธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค มีสัดส่วนรายได้จากพม่าไม่มาก ขณะที่ธุรกิจพลังงานและก่อสร้าง คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้คาดว่าส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก ไม่มีนัยสำคัญ

พร้อมเตือนนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนอย่างกรณีหุ้น GameStop ในตลาดสหรัฐ อยากให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการลงทุนให้มาก การพิจารณาราคาหุ้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพราะเริ่มมีการวิเคราะห์แล้วว่า ไม่ใช่รายย่อยเท่านั้นที่เข้าไปลงแต่น่าจะมีกลุ่มสถาบันด้วย หากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นจากการเข้าไปลงทุนไล่ราคา เมื่อแรงซื้อขายหมดลงราคาก็ปรับตัวลงได้ มีโอกาสที่นักลงทุนจะมีความเสี่ยงติดดอยสูง