อีก 4 ปี หนี้สาธารณะไทย มากแค่ไหน

 อีก 4 ปี หนี้สาธารณะไทย มากแค่ไหน

การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อเร็วๆนี้ ให้ความเห็นชอบเป้าหมายนโบายการเงินซึ่งจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของสถานะการเงินของประเทศ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ "ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี" ซึ่งพบว่าจากนี้ไปจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบสถานะและประมาณการเศรษฐกิจตามกรอบการคลังระยะปานกลาง (2565 - 2568) โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปี2565 จะขยายตัวอยู่ที่ 3- 4 % และปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.7-3.7 % โดยจะเร่งขึ้นอยู่ในช่วง 2.9-3.9%  ในปี 2567 และ 3.2-4.2%  ในปี 2568 

สำหรับสถานะและประมาณการการคลัง ประมาณการรายได้สุทธิ ปี 2565 - 2568 ได้แก่

*ปี 2565 คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท 

*ปี 2566 จะอยู่ที่ 2.49 ล้านล้านบาท 

*ปี 2567 อยู่ที่ 2,619,500 ล้านบาท 

*ปี 2568 จะอยู่ที่ 2,750,500 ล้านบาท 

โดยประมาณการรายได้สุทธิดังกล่าวมีสมมติฐานด้านนโยบายภาษีที่สำคัญ ได้แก่ 

*การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e-service

*รายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม 

*การปรับเปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) 

สำหรับประมาณการงบประมาณรายจ่าย 

*ปี 2566 อยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท 

*ปี 2567 อยู่ที่ 3.31 ล้านล้านบาท 

*ปี 2568 อยู่ที่  3.42 ล้านล้านบาท

 โดยรายจ่ายดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานที่สำคัญ เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น2.0-3.5%  ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วน2.5-4%  ของวงเงินงบประมาณ ค่าใช้จ่ายบุคลากรมีอัตราเพิ่มโดยเฉลี่ยไม่เกิน3.5% เป็นต้น 

รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณใน

*ปีงบประมาณ 2565 จำนวน 7    แสนล้านบาท 

*ปีงบประมาณ 2566 จำนวน 7.1 แสนล้านบาท 

*ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 6.9 แสนล้านบาท 

*ปีงบประมาณ2568 จำนวน 6.6  แสนล้านบาท

ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นงบประมาณ 2563 จำนวน 7,848,156 ล้านบาท คิดเป็น 49.3 % ต่อจีดีพี 

ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี

      * ปี 2564 จะอยู่ที่ 56% ต่อจีดีพี 

      *ปี 2565 จะอยู่ที่ 57.6% ต่อจีดีพี 

      *ปี 2566 จะอยู่ที่ 58.6% ต่อจีดีพี 

      *ปี 2567 จะอยู่ที่ 59%   ต่อจีดีพี  

      *ปี 2568 จะอยู่ที่ 58.7% ต่อจีดีพี

“เป้าหมายและนโยบายการคลัง เป้าหมายการคลังในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ให้ภาคการคลังสามารถรองรับสถานการณ์และพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ขณะที่เป้าหมายระยะยาว ยังกำหนดให้มีการปรับลดขนาดการขาดดุลและมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในที่สุด”

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบแนวทาง 3Rs เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ประกอบด้วย 1.Reform หรือการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอากร ทบทวนโครงสร้างภาษีในปัจจุบันเพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ 2.Reshape คือ การปรับเพื่อควบคุมการจัดสรรงบประมาณ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนสำคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชะลอปรับลดยกเลิกโครงการที่ไม่มีความจำเป็น และ 3.Resilience การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีภูมิคุ้มกันและสามารถรองรับต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ ได้ โดยยึดหลักความระมัดระวังสูงสุด (Conservative) การกู้เงินที่เน้นความเสี่ยงต่ำภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อให้เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญให้กับทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน