ครม.ไฟเขียวชดเชยผู้ประกันตน กักตัว 50% รับโควิดระลอกใหม่

ครม.ไฟเขียวชดเชยผู้ประกันตน  กักตัว 50% รับโควิดระลอกใหม่

ครม.เตรียมพร้อมรองรับผู้ว่างงานจากโควิด-19 ระลอกใหม่จ่าย 50% ของค่าจ้างรายวัน รับตลอดระยะเวลาที่สั่งปิดพื้นที่ รวมไม่เกิน 90 วัน พร้อมไฟเขียวลดเงินสมทบประกันสังคม

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมฯเห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการจ่ายเงินเยียวยาในกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง เนื่องจากต้องกักตัวหรือนายจ้างหยุดกิจการตามคำสั่งของราชการ เตรียมพร้อมรองรับผู้ว่างงานจากการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.2563 เป็นต้นไป กำหนดนิยามคำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขณะที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ

ทั้งนี้ กำหนดให้ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยและหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตราย อันส่งผลให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างดังกล่าวมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานอัตรา 50% ของค่าจ้างรายวัน ตามมติคณะกรรมการประกันสังคม โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่สั่งปิดพื้นที่ ซึ่งภายในระยะเวลา 1 ปีปฏิทิน จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังกล่าวทุกครั้ง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 90 วัน

“ร่างกฎกระทรวงนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนที่อยู่ในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการที่รัฐบาลสั่งปิดกิจการ โดยในเบื้องต้นคาดว่ามีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เช่น สมุทรสาคร สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และสมุทรสงคราม รวมกันแล้วประมาณ 5.7 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 5,225 ล้านบาท”

ขณะเดียวกัน ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยลดอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 จากเดิม 5% ลดเหลือ 3 % ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลส่งเงินสมทบอัตราเดิม 2.75% ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 ให้ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม จากเดิมเดือนละ 432 บาท เหลือเดือนละ 278 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2564 โดยการลดอัตราเงินสมทบจะส่งผลดีต่อผู้ประกันตนและนายจ้าง โดยช่วยให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินไปใช้จ่ายเสริมสถาพคล่อง ประมาณคนละ 460 - 900 บาท เป็นเวลา 3 เดือน คิดเป็นมูลค่ารวม 8,248 ล้านบาท ส่วนนายจ้างจะจ่ายเงินสมทบลดลง รวม 7,412 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและช่วยรักษาการจ้างงานต่อไปได้

นอกจากนี้ ครม.เห็นชอบเพิ่มอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเหมาจ่าย จากเดิม 600 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน เพิ่มเป็น 800 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ทำให้รายได้ลดลงหรือไม่มีรายได้ เนื่องจากต้องหยุดงานหรือต้องออกจากงาน ในขณะที่รายจ่ายเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดเป็นรายจ่ายที่จำเป็น