TASCO เปิดดิ่งติดฟลอร์! หลังกำลังการผลิต 50% ส่อแววชะงักตั้งแต่ พ.ย. นี้

TASCO เปิดดิ่งติดฟลอร์! หลังกำลังการผลิต 50% ส่อแววชะงักตั้งแต่ พ.ย. นี้

TASCO เปิดร่วงติดฟลอร์ที่ระดับ 20.40 บาท หลังบริษัทแจ้งเตรียมปิดโรงกลั่นในมาเลเซียตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. นี้ โบรกชี้กระทบกำลังการผลิต 50% แนะเลี่ยงลงทุน

จากกรณีที่ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทจะหยุดการซื้อน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลา ตามที่ US State Departmnt ร้องขอ ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.นี้เป็นต้นไป เพื่อลดความเสี่ยงการถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจรุนแรง ทำให้บริษัทต้องปิดโรงกลั่นเมือง Kemaman ในประเทศมาเลเซีย เป็นการชั่วคราวจนกว่าการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่อเวเนซูเอล่าจะถูกยกเลิก หรือจัดหาน้ำมันดิบอื่นทดแทนน้ำมันดิบจากเวเนซูเอลา

ล่าสุด หลังเปิดการซื้อขายช่วงเช้านี้ (14 ก.ย.) ราคาหุ้น TASCO เปิดที่ 20.40 บาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวัน (Floor) หรือลดลง 14.64% จากวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 เดือน

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า การที่ TASCO ประกาศหยุดการซื้อขายน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลาตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตรจากประเทศสหรัฐฯ ทำให้โรงกลั่น Kemaman ในประเทศมาเลเซีย ต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราวจนกว่าการคว่ำบาตรระหว่างประเทศเวเนซูเอลากับประเทศสหรัฐฯ จะถูกยกเลิก หรือ TASCO สามารถหาแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นมาชดเชยได้

ทั้งนี้ โรงกลั่นดังกล่าวถูกออกแบบให้ใช้สำหรับน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลเป็นหลัก ซึ่งสูงถึง 90% ของน้ำมันดิบที่ใช้ทั้งหมด เราจึงมีมุมมองเป็นลบต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจาก 50% ของปริมาณการขายยางมะตอยราว 2 – 2.2 ล้านตันต่อปี มาจากผลผลิตน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอล่า ส่วนอีก 50% มาจากบุคคลภายนอก (third party)

ดังนั้น การยกเลิกการซื้อขายน้ำมันดิบประเทศเวเนซูเอล่าจะทำให้บริษัทขาดแคลนสินค้าในการจำหน่ายและแม้จะมีแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นมาชดเชย แต่อาจทำให้บริษัทต้องเจอต้นทุนน้ำมันดิบที่สูงกว่าและให้ผลผลิตยางมะตอยไม่มากเท่าแหล่งน้ำมันดิบที่มาจากประเทศเวเนซูเอลาที่สูงถึง 70%

ปัจจุบัน บริษัทมี Capacity ในการจุน้ำมันดิบมากถึง 4.1 ล้านบาร์เรล มาจากถังน้ำมันดิบจำนวน 8 ถัง รวมความจุได้ 2.3 ล้านบาร์เรลและเช่า Floating storage อีกราว 1.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะหมดอายุสัญญาภายในเดือน ก.พ. 2564

คาดกำไรปกติปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างจำกัด เนื่องจาก ปัจจุบัน TASCO มีน้ำมันดิบที่สามารถผลิตได้จนถึงไตรมาส 1 ปี 2564 ขณะที่กำไรปกติปี 2564 อาจกระทบมากสุดถึง 40 – 50% อยู่ที่ 1.5 – 1.8 พันล้านบาท หากบริษัทไม่สามารถหาแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นได้เลย ทำให้โรงกลั่นในมาเลเซียต้องหยุดดำเนินการทั้งปี ส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงราว 12 – 15 บาทต่อหุ้น

แต่หากบริษัทสามารถหาแหล่งน้ำมันดิบมาชดเชยน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลาได้ราว 50% จะทำให้กำไรปกติปี 2564 อยู่ระหว่าง 2.2 – 2.5 พันล้านบาท ส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงราว 5 – 8 บาทต่อหุ้น

มีโอกาสปรับประมาณการและราคาเป้าหมายลงจากประเด็นดังกล่าวภายหลังจากการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 14 ก.ย. นี้ เบื้องต้น แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน