“บ้านปู เน็กซ์”เปิดแผนลงทุน 6 กลุ่มพลังงานสะอาด

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า แผนการลงทุนช่วงปี63-64 ของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด หรือ BANPU NEXT ซึ่งเป็นบริษัทลูก จะมุ่งเน้นขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงาน (Smart Energy Solutions for Next Generations) ภายใต้กลยุทธ์ของบ้านปูฯ Greener & Smarter ผ่าน 6 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย

1.ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ ที่ให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้ง โซลาร์ฟาร์ม และพลังงานลมใน จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 642 เมกะวัตต์

2.ธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับลูกค้ารายย่อย ให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อป โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายหลักๆ คือ โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาลห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย เป็นต้น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ราว 172 เมกะวัตต์

“กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และโซลาร์รูฟท็อป ของบ้านปู เน็กซ์ฯ ขณะนี้มีในมือราว 814 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 1,600 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโซลาร์รูฟท็อป 500 เมกะวัตต์ ในปี 68”

3.ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ปัจจุบันให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้ามูฟมี (Muv mi) ตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสกว่า 10 สถานี และมีรถ 100 คัน ตั้งเป้าหมายจะมีรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าในปี 68 เป็น 5,000 คัน รองรับการให้บริการตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่ม

นอกจากนี้ยังได้ให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า FOMM ผ่านแอพพลิเคชั่นฮอปคาร์อีกด้วย ปัจจุบันมีรถให้บริการอยู่ราว 50 คันสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีเพิ่มเป็น 100 คัน โดยคิดค่าบริการเช่าคันละ 7,000 บาทต่อเดือน กลุ่มเป้าหมายจะเป็น โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม เป็นต้น

4.ธุรกิจเอนเนอร์จี เทคโนโลยี แอ็กเซสซอรี่ จะนำเสนอโซลูชันด้านเทคโนโลยีพลังงานล้ำสมัย เป็นทางเลือกในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และสร้าง Ecosystem ด้านการใช้พลังงานสะอาดที่ครบวงจร

5.ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาใช้งานที่หลากหลาย เช่น การใช้งานร่วมกับระบบโซลาร์ ระบบสมาร์ทกริด เป็นต้น และ6.ธุรกิจบริหารจัดการระบบการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพ ที่จะให้คำปรึกษาด้านการจัดการระบบการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

         "บ้านปู เน็กซ์ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็น 20% ในปี 68 จากปี 63 อยู่ในระดับ 5%"