‘กำไรแบงก์’โค้งแรกดิ่ง14% พิษ‘โควิด'ฉุดศก.-สินเชื่อ 

‘กำไรแบงก์’โค้งแรกดิ่ง14%  พิษ‘โควิด'ฉุดศก.-สินเชื่อ 

 "โบรกเกอร์" คาดกำไรแบงก์ไตรมาสแรกทรุด 12-14%  ผลกระทบ" โควิด-19" ฉุดเศรษฐกิจชะลอ สินเชื่ออ่อนตัว  "ทรีนีตี้"คาดกำไรอยู่ที่ 3.41หมื่นล้านบาท ลดลง12.12%  "ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี "คาดกลุ่มแบงก์ตั้งสำรองเพิ่ม12 %หรือ29,924 ล้านบาท พร้อมแนะเลี่ยงลงทุน

นายธนภัทร ฉัตรเสถียร นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส1ปี2563 กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 6แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ(BBL),กสิกรไทย(KBANK),ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB),ธนาคารกรุงไทย(KTB),ธนาคารทหารไทย(TMB )และ ทิสโก้ (TISCO) อยู่ที่ 34,131 ล้านบาท ลดลง 12.12%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

  แบ่งเป็น BBL กำไร 6,950 ล้านบาท ลดลง 23.0%,KBANK กำไร7,606 ล้านบาท ลดลง24.27%,KTB กำไร 6,630 ล้านบาท ลดลง9.19 %,SCB กำไร7,572 ล้านบาท ลดลง17.30%,TMB กำไร3,733 ล้านบาทเพิ่มขึ้น136.41%และTISCO กำไร1,640 ล้านบาท ลดลง5.20%  

กำไรที่ลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การปล่อยสินเชื่ออ่อนตัวลง และอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย(NIM)ลดลง รวมถึงคาดว่าการตั้งสำรองหนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะเริ่มได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19ในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ทุกแบงก์มีกำไรลดลง ยกเว้นTMB ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น เพราะรวมงบการเงินธนาคารธนชาตหลังควบรวมกิจการ

ทั้งนี้ แนวโน้มกำไรจะลดลงต่อเนื่องในไตรมาส2 คาดว่าจะต่ำสุดในไตรมาส3 ทำให้ทั้งปี2563กลุ่มแบงก์กำไรปรับลดลงประมาณ 9 % อยู่ที่ 1.44 แสนล้านบาท จากปี2562 อยู่ที่ 1.58 แสนล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อปีนี้ลดลงประมาณ 2%,NIM ลดลง0.15% ,NPLเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ3.5% จากเดิมเฉลี่ยประมาณ3% จากลูกหนี้เอสเอ็มอีบางส่วน

สำหรับหุ้นกลุ่มแบงก์ แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมากแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยง จึงแนะเลือกลงทุนเป็นรายตัว โดยแบงก์ใหญ่ แนะซื้อ BBLให้ราคาเหมาะสมที่ 158 บาท เพราะมีสำรองส่วนเกินสูงสุดในกลุ่ม และมีการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีไม่มาก  ส่วนแบงก์เล็กแนะนำ TISCO ให้ราคาเหมาะสมที่ 102บาท 

ด้าน นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ซีจีเอส-ซีไอ เอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรกลุ่มแบงก์ 7บริษัท ประกอบด้วย  BBL,KBANK,SCB,KTB,TMB ,TISCO และธนาคารเกียรตินาคิน (KKP)อยู่ที่ 34,352 ล้านบาท ลดลง14.3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อลดลง อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงต้นปีนี้ ทำให้NIMปรับตัวลดลงตามเช่นกัน ขณะที่การตั้งสำรองคาดว่าจะเพิ่มขึ้น12.3% อยู่ที่ 29,924  ล้านบาท รวมถึงผลตอบแทนตราสารหนี้ และตราสารทุนลดลงเพราะตลาดมีความผันผวนสูง

บริษัทจึงยังไม่แนะนำให้ลงทุนกลุ่มแบงก์ เพราะความเสี่ยงแพร่ระบาดโควิด-19ที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อใด  ซึ่งการเติบโตของกลุ่มแบงก์นั้น อิงกับภาพเศรษฐกิจเป็นหลักจึงทำให้ได้รับผลกระทบมาก จึงแนะนำรอดูสถานการณ์ แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับที่ถูกแล้วก็ตาม