MAKRO - ถือ

MAKRO - ถือ

ประมาณการ 1Q63: ได้แรงหนุนจากการซื้อตุนของกินของใช้

Event

เราคาดว่ากำไรสุทธิของ MAKRO ใน 1Q63 จะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท (+28% YoY แต่ -6% QoQ) ซึ่งจะ
คิดเป็น 29% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ของเรา กำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ YoY จะมาจาก
SSSG ที่แข็งแกร่ง และอัตรากำขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากกระแสการซื้อตุนของกินของใช้ ในขณะที่กำไรที่
ลดลง QoQ จะเป็นเพราะปัจจัยฤดูกาล

lmpact

SSSG โดดเด่นจากกระแสการตุนของกินของใช้

เราพบว่ามีการซื้อตุนสินค้าเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ และแรงซื้อยิ่งเพิ่มมากขึ้นในเดือนมีนาคมจากสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ดังนั้น เราจึงคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนมีนาคมและดึงให้ SSSG ใน 1Q63 ขึ้นมาอยู่ที่ 6.5% แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลการดำเนินงานของ MAKRO
ก็จะได้รับผลกระทบจาก Covid-19 เช่นกันในแง่การขยายสาขา ดังนั้น เราจึงคาดว่าจะไม่มีการขยายสาขาใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศในไตรมาสนี้ ดังนั้นจำนวนสาขาในประเทศไทยจึงอยู่ที่ 134 สาขา และในต่างประเทศ 6 สาขา

อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 10.6%

กระแสการซื้อตุนสินค้าทำให้โครงสร้างยอดขายดีขึ้น (อาหารสดและอาหารแช่แข็ง) ดังนั้น เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น 0.7ppts YoY เป็น 10.6% ใน 1Q63 แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าค่าใช้จ่าย SG&A จะเพิ่มขึ้น 12% YoY จากการขยายสาขาในต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินการสาขาที่เมียนมาร์ ส่งผลให้สัดส่วน SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% จาก 8.2% ใน 1Q62

แนวโน้มอ่อนแอในช่วงที่เหลือของปีนี้

เราคาดว่า SSSG จะลดลงจนถึงติดลบใน 2Q63 จากมาตรการปิดเมือง เนื่องจาก i) รายได้จากกลุ่มธุรกิจ HORECA (คิดเป็น 30% ของรายได้ MAKRO) อ่อนแอ และ ii) ยอดการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนลดลงจากอัตราการว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (~55% ของการจ้างงานทั้งหมดคาดได้รับผลกระทบ:
Figure3-4) โดยสรุปแล้ว เรามองว่า SSSG ของ MAKRO มีสัญญาณลบมากขึ้นจากสมมติฐานปัจจุบันของเราที่ 1.5% โดย SSSG ที่ลดลงทุก ๆ 1 จะทำให้ EPS ลดลง 1.5% (Figure 5) เราคาดว่า SSSG น่าจะดีขึ้นในครึ่งหลังเมื่อกลุ่มธุรกิจ HORECA กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง

Valuation & Action

การที่ MAKRO เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่ SSSG เป็นบวกอาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นในระยะสั้นที่ช่วยหนุนราคาหุ้น MAKRO แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดัน เรามองว่าผลการดำเนินงานในต่างประเทศจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว เรา
ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย DCF สิ้นปี 2563 ที่ 37.50 บาท โดยใช้ WACC ที่ 8.2%, R(f) ที่ 3.1% และ อัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.0%

Risks

เศรษฐกิจชะลอตัวลง ราคาสินค้าเกษตรลดลง ขยายสาขาไม่ได้ตามแผน วัฒนธรรมการบริโภค ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาในต่างประเทศ