ม.นเรศวร คัดกรอง 250 นิสิต สั่งวัดไข้สังเกตอาการตนเอง 14 วัน

ม.นเรศวร คัดกรอง 250 นิสิต สั่งวัดไข้สังเกตอาการตนเอง 14 วัน

หลังพิษณุโลก พบหญิงสาววัย 43 ปี ป่วยเป็นโควิด-19 ส่งผลให้ลูกสาววัย 20 ปี และเป็นนิสิต ม.นเรศวรติดเชื้อไปด้วย ล่าสุด ผู้ว่าฯ ได้ทำหนังสือถึงอธิการบดี เพื่อคัดกรองนิสิตที่เกี่ยวข้องโดยเบื้องต้นมี 250 คน ให้วัดไข้และสังเกตอาการตนเอง 14 วัน

เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการเผยแพร่หนังสือที่ลงนามโดย นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้ออกหนังสือ ที่ พล. 0032.011/4946 ลงวันที่ 26 มีนาคม 2563 เรื่อง ควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ข้อความว่าตามที่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรายที่ 2 ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก และได้สอบสวนพบว่าผู้ป่วยดังกล่าวมีการเข้าทำ การสอบในพื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ในวันที่ 16 มีนาคม 2563 โดยมีผู้เข้าสอบสาขานิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จำนวน 140 คน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้ไปออกกำลังกายภายในสถานฟิตเนส ร่วมกับผู้ติดเชื้อในรายที่ 1 ด้วย

ดังนั้น จึงมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ะบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-16จากสถานที่ดังกล่าว จึงขอให้ท่านจัดส่งบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่เข้าทำการสอบทั้งหมด เจ้าหน้าที่ที่ได้ไปออกกำลังกายในฟิตเนสดังกล่าว และดำเนินการแจ้งให้มีการกักตัวในพื้นที่ที่เหมาะสมจำนวน 14 วัน เพื่อไม่ให้เกิดความตระหนก ให้ทำหนังสือแจ้งไปยังนักศึกษาและผู้เกี่ยวข้องเป็นรายบุคคล และขอให้ดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดในมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยเร่งด่วน ทั้งนี้ได้แจ้งให้ อำเภอเมืองพิษณุโลก โลก ได้เข้าดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว

อนึ่ง สำหรับหนังสือฉบับดังกล่าว ออกโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก พร้อมกันนี้ นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้ทำหนังสือ ถึงนายอำเภอเมืองพิษณุโลก เพื่อมอบหมาย ไปตรวจสอบตามหน้าที่ รวมทั้งประสานกับอธิการบดี มหาวิทยาลัยนเรศวร และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีการบูรณาการควบคุมโรค และถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบโดยด่วนต่อไป

ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. ของวันที่ 26 มี.ค. 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานกิจการนิสิตและศิษย์เก่าสัมพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้มีประกาศเรื่องกรณีนิสิตคณะนิติศาสตร์ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นบุตรสาวเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยแนวทางได้แบ่งกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ 1. กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ บุคคลที่ใกล้ชิด สัมผัสกับผู้ติดเชื้อเป็นระยะเวลานาน โดยไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกัน 2. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ บุคคลที่อยู่ในบริเวณเดียวกับผู้ติดเชื้อ ในกรณีที่นิสิตผู้ติดเชื้อ ได้เข้าสอบในวันที่ 16 มี.ค.2563 นั้น มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง คือ นิสิต จำนวน 250 คน (ถึงแม้จะมีการแยกห้องสอบเป็น 2 ห้อง ทางจังหวัดถือว่านิสิตอยู่ในบริเวณเดียวกัน จึงอาจมีความเสี่ยง) กรรมการคุมสอบและเจ้าหน้าที่จุดคัดกรอง จำนวน 10 คน

โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อทั้ง 2 กลุ่ม ทางจังหวัดถือว่าเป็น บุคคลที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งต้องมีการดำเนินการดังต่อไปนี้ เฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 16-30 มี.ค.2563 วัดไข้ทุกวัน สังเกตอาการตัวเอง ถ้าพบว่ามีไข้ ไอ เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร (คลินิก ARI หน้าโรงพยาบาล) แยกตัว (Social Distancing) ไม่เดินทางออกนอกพื้นที่ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขโดยเคร่งครัด

ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนอย่าตื่นตระหนก แต่ให้ระมัดระวังตัว และสังเกตอาการตัวเองตลอดเวลา และกรณีที่นิสิตทำการสอบแบบ Take Home รายงาน หรือการสอบ Online รูปแบบอื่น ซึ่งอาจทำให้นิสิตมีการจับกลุ่มปรึกษาหารือกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิด มีการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง จึงขอให้นิสิตดังกล่าวเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน นับจากวันที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ

เบื้องต้น คณะนิติศาสตร์ ได้ดำเนินการฉีดพ่นฆ่าเชื้อ ตามหลักการของสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2563 สำหรับบุคคลที่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ทางจังหวัดได้ทราบข้อมูลจากผู้ติดเชื้อแล้ว และทางจังหวัดจะดำเนินการประสานเป็นรายบุคคลต่อไป

สำหรับจังหวัดพิษณุโลก มีข้อมูลเมื่อเวลา 17.00 น. 26 มี.ค.2563 พบว่ามีผู้ป่วย PUI ( เข้าข่ายเกณฑ์ ) สะสม อยู่ที่ 108 ราย ไม่พบเชื้อ 91 ราย พบเชื้อ 3 ราย รอผลตรวจอีก 14 ราย โดยนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้กล่าวฝากถึงประชาชนทั่วไป ว่ากรณีที่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก อยากให้ประชาชนทำความเข้าใจและเห็นใจกัน อย่าไปซ้ำเติม หรือ รังเกียจผู้ที่ป่วย เราควรสร้างกำลังใจเพื่อให้เขาหายเป็นปกติสุข และกลับคืนสู่สังคมที่ดีต่อไป