ศาลปกครอง ห่วงขาดแคลน 'หน้ากากอนามัย' หวั่นปชช.ฟ้องรัฐดูแลไม่ทั่วถึง

ศาลปกครอง ห่วงขาดแคลน 'หน้ากากอนามัย' หวั่นปชช.ฟ้องรัฐดูแลไม่ทั่วถึง

ย้ำเป็นหน้าที่ทั่วไปของรัฐ ป้องกันโรค มิตินโยบายบริหารต้องเหมาะสมภาวะโรคระบาด "บุคลากรการแพทย์-ปชช." ฟ้องได้หรือไม่ ต้องดูรายละเอียด

คณะโฆษกศาลปกครอง โดยนายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ในฐานะโฆษกศาลปกครอง , นายวชิระ ชอบแต่ง รองอธิบดีศาลปกครองกลาง และ น.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ รองอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด ในฐานะรองโฆษกศาลปกครอง ได้ตอบข้อซักถามสื่อมวลชน ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID- 19

ซึ่งขณะนี้มีเหตุการณ์ตามมาในเรื่องของการจัดหน้ากากอนามัยให้เพียงพอแก่ประชาชน และบุคลากรทางแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาโรคทั่วไปและการป้องกันรักษาโรคที่กำลังระบาด หากประชาชน หรือบุคลากรทางการแพทย์ได้รับความเดือดร้อน จะมาฟ้องคดีนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข หรืออธิบดีกรมควบคุมโรค ฐานละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติได้หรือไม่

นายประวิตร บุญเทียม โฆษกศาลปกครอง อธิบายลักษณะการใช้สิทธิฟ้องคดีว่า กฎหมายกำหนดให้กระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค มีหน้าที่ทั่วไปในป้องกันและควบคุมโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภาวะโรคระบาด และกรมควบคุมโรคได้มีประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายก็ยิ่งย้ำถึงหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดการป้องกันและควบคุม หากประชาชนหรือบุคลากรทางการแพทย์ฟ้องคดีเข้ามาศาลก็จะต้องพิจารณาว่าเป็นคดีที่ศาลมีอำนาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ และผู้ที่ถูกฟ้องมีหน้าที่เรื่องหน้ากากอนามัยหรือไม่ หรือเป็นเรื่องของหน่วยงานใด

นอกจากนี้ ต้องพิจารณาว่าเป็นหน้าที่โดยตรงในเรื่องดังกล่าว หรือเป็นเรื่องทางนโยบาย หากสามารถรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้แล้วแล้วจึงจะเข้าไปพิจารณาเนื้อหาแห่งคดีต่อไปว่ามีการละเลยต่อหน้าที่หรือไม่

ด้าน น.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวถึงความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าวว่า หากเป็นในสถานการณ์ปกติการจัดหาหน้ากากอนามัยอาจจะไม่ใช่บริการสาธารณะที่รัฐจะต้องจัดสำหรับทุกคน หน้ากากอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นการใช้เพื่อป้องกันการติดต่อของโรค ดังนั้นถ้าเป็นสถานการณ์ปกติที่ไม่ได้มีโรคติดต่อร้ายแรง หน้ากากอนามัยก็ถือเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ซึ่งผลิตมาแล้วก็จัดขายไปในระบบของธุรกิจทั่วไป แต่เมื่อเป็นสถานการณ์พิเศษที่มีโรคติดต่ออันตรายเกิดขึ้น ตรงนี้หน้าที่ของการจัดหา Medical Supply ทั้งหมด

ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพียงหน้ากากอนามัย แต่หมายถึงชุดอุปกรณ์เครื่องมือ-เวชภัณฑ์ทั้งหมดต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการป้องกันโรค ที่จะต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดหาให้เพียงพออย่างน้อยก็สำหรับบุคคลากร ซึ่งทำหน้าที่อยู่ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่การใช้กลไกทางกฎหมายโดยตรงทั้งหมด แต่เป็นเรื่องในทางนโยบายและบริหารจัดการของหน่วยงานที่รับผิดชอบ หากเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติภารกิจป้องกันหรือให้การรักษาโรคติดต่อร้ายแรงแล้วจะต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์อะไรบ้างสำหรับใช้ในภาวะเช่นนี้

หากมองในมิติของการบริหารภาครัฐ ก็เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะจัดหาให้โรงพยาบาลที่เป็นหน่วยงานที่ทำบริการสาธารณะของตัวเองให้มีอุปกรณ์ที่จำเป็นขั้นพื้นฐานเพียงพอ อย่างน้อยก็ตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ ซึ่งในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสูงเขาจะต้องได้รับการจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็น

หน่วยงานต้นสังกัดของเขามีหน้าที่จะต้องจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้บุคลากรทำงานอยู่ในสภาพการทำงานที่มีความปลอดภัย เหมือนกับกรณีโรงงานอุตสาหกรรมที่จะต้องมีการกำหนดมาตรฐานในงานบางประเภทซึ่งต้องมีอุปกรณ์เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานปลอดภัย อันนี้ก็เช่นเดียวกันหมอหรือบุคลากรที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคซึ่งเป็นหน้าที่ที่มีความเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานที่เป็นต้นสังกัด มีหน้าที่ต้องจัดหาให้เขามีวัสดุอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เขาทำงานในสภาพการทำงานที่ปลอดภัย

ขณะที่ นายวชิระ ชอบแต่ง รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวเสริมอีกว่า หากถือว่าเรื่องนี้เป็นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดทำบริการสาธารณะในเรื่องการสาธารณสุข การจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งไม่เฉพาะแต่หน้ากากอนามัยเท่านั้น แต่รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลไว้ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ จึงถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้โดยรีบด่วน เพียงพอและทันกับสถานการณ์