Vibe Coding ทักษะใหม่ยุคเอไอ ที่อาจเปลี่ยนวงการซอฟต์แวร์และตลาดงาน

Vibe Coding ทักษะใหม่ยุคเอไอ ที่อาจเปลี่ยนวงการซอฟต์แวร์และตลาดงาน

Vibe Coding คือการเขียนซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่ที่ใช้ภาษาพูดสั่งการให้เอไอสร้างและแก้ไขโค้ดแทนการพิมพ์เอง คนทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ทักษะนี้อาจเปลี่ยนโฉมวงการเทคโนโลยีและตลาดงาน

KEY

POINTS

  • vibe coding คือการเขียนซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่ที่ใช้ภาษาพูดสั่งการให้เอไอสร้างและแก้ไขโค้ดแทนการพิมพ์เอง
  • คนทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ทักษะนี้อาจเปลี่ยนโฉมวงการเทคโนโลยีและตลาดงาน
  • ยานน์ เลอคุน อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์เอไอของเมตา เตือนว่า vibe coding ไม่สามารถทดแทนความรู้พื้นฐานได้ และแนะนำให้นักศึกษาสนใจวิชาที่ยั่งยืนอย่างคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ในระยะยาว

ในอดีต การจะเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ต้องเริ่มจากการเรียนภาษาเขียนโค้ดอย่างจริงจัง เข้าใจโครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และค่อยๆ ไต่ระดับจากงานเล็กไปสู่งานใหญ่ แต่วันนี้ ภาพนั้นกำลังเปลี่ยนไป จากการมาถึงของเอไอที่คุยเป็นภาษาและเขียนโค้ดให้มนุษย์ได้ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกสั้นๆ ว่า “vibe coding

vibe coding คือ การเขียนซอฟต์แวร์โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์โค้ดทีละบรรทัด แต่ใช้การอธิบายความต้องการเป็นภาษาธรรมดา แล้วให้เอไอสร้าง แก้ไข และต่อยอดโค้ดให้แทน แนวคิดนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในซิลิคอนวัลเลย์ และกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงการการศึกษาเอไอว่าคนรุ่นใหม่ควรเรียนรู้อะไร เพื่อไม่ให้ตกขบวนเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเสียงสำคัญที่ออกมาเตือนนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง คือ ยานน์ เลอคุน (Yann LeCun) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวฝรั่งเศส อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านเอไอของเมตา และอาจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก 

เลอคุนให้สัมภาษณ์กับบิสสิเนสอินไซเดอร์ว่า นักศึกษาที่เรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หากเลือกเรียนเฉพาะวิชาขั้นต่ำตามหลักสูตร อาจพบว่า ความรู้ที่ได้ไม่เพียงพอสำหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ 

“ถ้าคุณเป็นนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเรียนคณิตศาสตร์เพียงเท่าที่หลักสูตรกำหนด คุณอาจจะปรับตัวไม่ได้เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว” เขากล่าว

แม้จะเป็นอาจารย์ด้านคอมพิวเตอร์ เลอคุนเล่าว่า เขามักพูดติดตลกว่า ตัวเองคือ “อาจารย์คอมพิวเตอร์ที่ออกมาโต้แย้งการเรียนคอมพิวเตอร์” ไม่ใช่เพราะไม่เห็นความสำคัญของสาขานี้ แต่เพราะเขาเห็นว่านักศึกษาหลายคนใช้เวลาไปกับการเรียนเทคโนโลยีที่กำลังเป็นกระแส มากกว่าการสร้างพื้นฐานระยะยาว

เลอคุนอธิบายว่า คำแนะนำของเขาไม่ใช่การหลีกเลี่ยงการเรียนคอมพิวเตอร์ แต่คือการเลือกเรียนวิชาพื้นฐานให้มากที่สุด เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ หรือวิศวกรรมไฟฟ้า แทนการเลือกวิชาที่เน้นเครื่องมือหรือเทคโนโลยีใหม่ในช่วงเวลานั้น “สิ่งที่ควรเรียน คือความรู้ที่มีอายุการใช้งานยาว” เขากล่าว

ในการให้สัมภาษณ์ผ่านพอดแคสต์ The Information Bottleneck เลอคุนอธิบายเพิ่มเติมว่า ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ การสร้างแบบจำลอง และคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับโลกจริง เป็นรากฐานสำคัญของเอไอ ซึ่งมักพบในสายวิศวกรรม เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า หรือวิศวกรรมเครื่องกล มากกว่าหลักสูตรคอมพิวเตอร์ที่เน้นการเขียนโปรแกรมเป็นหลัก

เขายกตัวอย่างว่า ในสหรัฐ นักศึกษาวิศวกรรมมักต้องเรียนแคลคูลัสต่อเนื่องตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 3 ขณะที่นักศึกษาคอมพิวเตอร์บางหลักสูตรเรียนเพียงแคลคูลัส 1 ซึ่งเขามองว่ายังไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ สายวิศวกรรมยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนแนวคิดอย่างทฤษฎีการควบคุม (control theory) และการประมวลผลสัญญาณ (signal processing) ซึ่งเลอคุนระบุว่า “มีประโยชน์มากสำหรับงานด้านเอไอ”

อย่างไรก็ตาม เลอคุนย้ำว่า คำเตือนนี้ไม่ได้หมายความว่าการเขียนโปรแกรมพื้นฐานไม่สำคัญ เขากล่าวว่า นักศึกษายังจำเป็นต้องมีความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์มากพอที่จะเข้าใจการทำงานของคอมพิวเตอร์และการเขียนโปรแกรม แม้เอไอจะช่วยให้เขียนโค้ดได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ตาม 

“vibe coding อาจจะดี แต่ไม่สามารถทดแทนความรู้พื้นฐานได้” เขากล่าว

คำว่า vibe coding ถูกทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางโดย อันเดรย์ คาร์พาธี (Andrej Karpathy) นักวิจัยเอไอ เคยเป็นผู้นำทีมเอไอของเทสลา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโอเพนเอไอ

คาร์พาธีใช้คำนี้อธิบายการเขียนโค้ด โดยอาศัยการสั่งงานด้วยภาษาธรรมชาติ ให้เอไอช่วยสร้างและปรับแก้โค้ด แทนการเขียนไวยากรณ์ซับซ้อนด้วยตนเอง

ในโพสต์สรุปภาพรวมวงการโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ประจำปี 2568 บนแพลตฟอร์ม X คาร์พาธีระบุว่า vibe coding ทำให้การเขียนโปรแกรมไม่จำกัดอยู่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญอีกต่อไป และเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่า “คนทั่วไปได้ประโยชน์จาก LLMs มากกว่าผู้เชี่ยวชาญ องค์กร หรือรัฐบาล”

เขาอธิบายว่า vibe coding ไม่เพียงช่วยให้คนที่ไม่มีพื้นฐานเทคนิคสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้ แต่ยังช่วยให้นักพัฒนามืออาชีพสามารถสร้างซอฟต์แวร์จำนวนมากขึ้น ซึ่งอาจไม่เคยถูกพัฒนามาก่อน คาร์พาธียังมองว่า โค้ดในยุคนี้มีลักษณะ “ชั่วคราว ยืดหยุ่น แก้ไขง่าย และอาจถูกทิ้งหลังใช้งานครั้งเดียว”

คาร์พาธีเขียนว่า vibe coding จะปรับภูมิประเทศของซอฟต์แวร์ใหม่ และเปลี่ยนคำอธิบายลักษณะงานของอาชีพด้านเทคโนโลยีในอนาคต แม้เขาจะยอมรับว่า ตอนตั้งคำนี้ขึ้นมา เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย

ขณะเดียวกัน งานวิจัยของ METR ที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม พบว่า ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์ซึ่งใช้ผู้ช่วยเขียนโค้ดด้วยเอไอ มีประสิทธิภาพลดลงเฉลี่ย 19% และมีความมั่นใจในเครื่องมือสูงเกินจริง สะท้อนว่าผลลัพธ์ของ vibe coding ยังมีทั้งด้านที่ช่วยและด้านที่ต้องระวัง

อีกมุมมองหนึ่งมาจาก อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ผู้ก่อตั้งสเกลเอไอ และผู้บริหารเอไอวัย 28 ปีของเมตา ซึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “บิล เกตส์ คนต่อไป อาจเป็นเด็กอายุ 13 ปีที่กำลัง vibe coding อยู่ตอนนี้” 

หวังมองว่า โค้ดเกือบทั้งหมดที่วิศวกรเขียนในวันนี้ จะถูกแทนที่ด้วยเอไอภายในไม่กี่ปีข้างหน้า สิ่งที่สำคัญจึงไม่ใช่การจำไวยากรณ์ภาษาโปรแกรม แต่คือการใช้เวลาเรียนรู้ ทดลอง และควบคุมเครื่องมือเอไอให้เชี่ยวชาญ

เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งคนรุ่นบุกเบิกอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ได้เปรียบเพราะเติบโตมากับเทคโนโลยีตั้งแต่แรกเริ่ม

หวังมองว่า ช่วงเวลานี้คือ จุดเปลี่ยนของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่มีเวลาและอิสระในการทดลองกับเอไอมากกว่าผู้ใหญ่

แม้เสียงจากผู้นำเอไอหลายคนจะสนับสนุนการใช้เครื่องมือใหม่อย่าง vibe coding แต่ทั้งเลอคุน คาร์พาธี และนักวิชาการอย่าง เจฟฟรีย์ ฮินตัน (Geoffrey Hinton) นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ต่างเน้นย้ำตรงกันว่า ทักษะที่มีคุณค่าระยะยาว เช่น คณิตศาสตร์ สถิติ ความน่าจะเป็น พีชคณิตเชิงเส้น และการคิดเชิงวิพากษ์ จะไม่หายไปตามกระแสเทคโนโลยี

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของยุคเอไอ generative และ agentic คำว่า vibe coding จึงไม่ใช่เพียงคำแฟชั่น แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีเรียนรู้ และบทบาทของมนุษย์ในโลกที่การเขียนโค้ดกำลังถูก “สนทนา” กับเอไอมากขึ้น ขณะที่คำเตือนจากนักวิชาการรุ่นใหญ่ยังคงชี้ให้เห็นว่า พื้นฐานทางความรู้ คือสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ไม่หลุดออกจากเกมในระยะยาว

อ้างอิง: Business Insider 1Business Insider 2 Fortune