'ดร.โกร่ง' เดือดอัดรัฐบาล 'โง่เขลา'

'ดร.โกร่ง' เดือดอัดรัฐบาล 'โง่เขลา'

“ดร.โกร่ง” ชี้เศรษฐกิจไทยถดถอยยาวอีก 5 ปี เหตุรัฐบาลไร้ความสามารถ บวกกับเป็นรัฐบาลทหารทำให้ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือในประชาคมโลก ลั่นบริหารค่าเงินผิดพลาดกระทบส่งออกติดลบ ระบุ ภาพรวมประเทศถือว่า ตกอยู่ในมหาวิกฤติ

นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 2020" ที่จัดโดยพรรคเพื่อไทยวันนี้ (3 มี.ค.) โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะตกอยู่ในภาวะถดถอยไปอีกราว 5 ปี เพราะหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวที่กระทบการส่งออก ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่กระทบการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงรัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ และ ยังเป็นรัฐบาลที่มาจากระบบเผด็จการ ทำให้ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาคมโลก โดยภาพรวมประเทศในขณะนี้ ถือว่า ตกอยู่มหาวิกฤติ คือ วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติการเมิอง และ วิกฤติกฎหมาย

เขากล่าวว่า เป็นที่ทราบดีประเทศไทยเราพึ่งการส่งออกเป็นหลักมูลค่าส่งออก 70% ของจีดีพี ฉะนั้น ใครที่พูดว่า ส่งออกไม่สำคัญ แสดงว่า ไม่เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เมื่อได้ยินรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจรัฐบาลนี้พูดว่า การส่งออกไม่มีความสำคัญ เราสามารถสร้างความต้องการภายในรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ อันนั้น เป็นคำพูดที่โง่เขลา เป็นคำพูดที่ไม่รู้เรื่อง คงจะหลอกทหารไทย แต่หลอกพวกเราที่อยู่ในขบวนการเศรษฐกิจ อยู่ในขบวนการทางด้านการเงินและการผลิตไม่ได้ ทั้งนี้ หากประเทศไทยไม่ส่งออก ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลย รายได้ประชาชาติของเราจะเหลือเพียง 30%ของรายได้ประชาชาติในขณะนี้เท่านั้น

ทั้งนี้ สินค้าทุกชนิดที่ส่งออกและนำเข้านั้น เราไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาที่เป็นดอลลาร์ได้ เพราะเป็นไปตามราคาตลาด แต่ราคาที่เป็นเงินบาทนั้น เป็นสิ่งที่เราสามารถกำหนดได้ผ่านทางอัตราแลกเปลี่ยน แต่ความที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เพราะคำให้สัมภาษณ์ผู้ว่าการธปท.หลายครั้งบอกว่า อัตราแลกเปลี่ยนไม่มีผลต่อการส่งออก ซึ่งถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรีผมคงจะปลดผู้ว่าธปท.ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แม้ว่า ธปท.จะเป็นอิสระก็ตาม แต่ความโง่เขลาเบาปัญญาของรัฐบาลทหาร จึงฟังธปท.ไม่รู้ว่า เขาไม่รู้ เพราะตัวก็ไม่รู้ เหมือนกับการเอาคนตาบอดมาร่วมงานกันทำ

เขากล่าวว่า ประเทศไทยในขณะนี้ ไม่ใช่ประเทศด้อยพัฒนาหรือกึ่งพัฒนา แต่อยู่ในระดับกำลังพัฒนาขั้นสูง อีกไม่นานคงพ้นจากประเทศกึ่งพัฒนากลายเป็นพัฒนาตามหลังมาเลเซีย แต่บังเอิญเราโชคร้ายที่เกิดรัฐประหารเสียก่อน จึงทำให้ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก เพราะเหตุว่า โลกปัจจุบันเป็นโลกโลกาภิวัตน์ มีการเกาะกลุ่มเป็นองค์การค้าเขตเศรษฐกิจเสรีต่างๆ แต่ในสายตาประชาคมโลกเรายังมีระบบการปกครองล้าหลังเป็นเผด็จการปกครองจึงเป็นที่รังเกียจของประชาคมโลก ในเวทีการค้าการเจรจาการค้าการลงทุนระหว่างประเทศนั้น ผู้นำของเราไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะเหตุว่ายังมียศนายพลนำหน้าในโต๊ะการเจรจามีเพียงประเทศเดียวเท่านั้น แม้แต่เมียนมาก็มีรัฐบาลพลเรือนเป็นส่วนใหญ่

“การที่ระบอบการปกครองไม่เหมือนประเทศอารยะ เป็นปัจจัยสำคัญดึงรั้งถ่วงไม่ให้ประเทศก้าวหน้ากลายเป็นประเทศที่เจริญแล้ว เดิมเราคิดว่า เราจะเป็นเสือตัวที่ 5 แต่หลังจากมีปฎิวัติทุกอย่างก็ล้าหลังไปหมด ฉะนั้น การที่รัฐบาลบอกว่า ระบอบการปกครองไม่มีความสำคัญนั้น ไม่จริง การที่ผู้นำไม่สามารถเดินทางไปเจรจาการค้าแบบทวิพาคีกับประเทศต่างๆได้ เป็นเหตุให้ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ถดถอยลง การส่งออกประสบปัญหา”

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ไม่เข้าใจระบบอัตราแลกเปลี่ยน โดยเมื่อปีที่แล้วระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2562 เงินบาทเป็นเงินตราที่แข็งที่สุดในโลก ไม่ใช่แข็งสุดในอาเซียนเท่านั้น ซึ่งเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงของรัฐบาลนี้ที่ไม่ได้ดูแลผู้ส่งออกของเรา ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนสำคัญที่สุด การส่งออกจึงถดถอยกลายเป็นล้าหลังสุดในอาเซียน และ มูลค่าการส่งออกกำลังจะติดลบ

เขากล่าวด้วยว่า การบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้ตนประเมินว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้ถือว่าเป็นปีที่เผาจริง และปลายปีก็จะเก็บกระดูกไปลอยอังคาร จึงขอให้ทุกฝ่ายเตรียมการไว้ ตามปกติแล้ววัฏจักรการหดตัวของเศรษฐกิจจะอยู่ที่ประมาณ 10 ปี รัฐบาลชุดนี้บริหารไปแล้ว 5 ปี ฉะนั้น ก็เหลืออีก 5 ปีกว่าที่จะเศรษฐกิจจะถดถอย ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น ขณะนี้ถือว่าต่ำสุดในรอบ 4 ปี เดือนหน้าก็จะต่ำสุดในรอบ 5 ปี และ 6 ปีในเดือนถัดไป เพราะยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์

“เศรษฐกิจที่ซบเซาจะอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะการเมืองที่ปกครองโดยทหารจะเป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนของประเทศ เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ถ้ารัฐบาลมาจากการเลือกตั้งก็คงอยู่ไม่ได้แล้ว แต่นี่เป็นรัฐบาลทหารจึงอยู่ได้ เพราะใช้ปืน ไม่ใช้มือ”

เขาระบุว่า แม้ว่า เศรษฐกิจโลกจะทำอะไรไม่ได้ แต่ความเข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีความสำคัญ หากรัฐบาลไม่เข้าใจและมีทัศนคติที่แปลกๆ เมื่อไม่เข้าใจจะวางยาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร สถานการณ์เศรษฐกิจครั้งนี้ แปลกประหลาดกว่าช่วงเศรษฐกิจซบเซาในหลายครั้งที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจที่ซบเซาจะติดตามมาด้วยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และ ขาดดุลการชำระเงิน เพราะเมื่อส่งออกไม่ได้ แต่เรายังนำเข้าได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดขาดดุลดังกล่าว แต่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในขณะนี้ เนื่องจาก การส่งออก แต่การนำเข้าก็หดตัวมากกว่าการหดตัวของการส่งออก เป็นเหตุให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ขาดดุลมาก เงินบาทก็ไม่อ่อน กลายเป็นว่า เศรษฐกิจซบเซาแต่เงินบาทแข็ง

เมื่อเงินบาทแข็งก็เกิดเก็งกำไรกองทุนอีแร้งต่างๆ ที่เคยโดนมา เงินก็ไหลเข้ามา แต่เข้าตลาดตราสารหนี้ ซึ่งมีกองทุนต่างๆรวมทั้งพันธบัตรัฐบาล เป็นเหตุให้พันธบัตรรัฐบาลมีราคาสูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนต่อพันธบัตรมีอัตราต่ำลง ปกติผลตอบแทนตราสารระยะยาวควรจะมีอัตราสูงกว่าการฝากเงินหรือการซื้อตราสารระยะสั้น แต่การที่ดอกเบี้ยระยะยาวต่ำลง เท่ากับว่า ในระบบเศรษฐกิจคาดว่า ภาวะเศรษฐกิจซบเซาจะอยู่กับเราไปอีกนาน ถือเป็นเครื่องชี้ไปข้างหน้า จึงป้องกันตัวเองผ่านการซื้อพันธบัตรระยะยาว

“ผมฟังสัมภาษณ์ไม่ว่าจากรัฐมนตรีคลังไม่ว่าจากรองนายกฯแล้ว บางทีอยากปิดทีวี แต่ว่าผมไม่ตำหนิ เพราะเรื่องนี้ ไม่ง่ายที่จะอธิบาย แต่เรื่องไม่ง่าย การเป็นผู้นำประเทศต้องหาคนดีมีฝีมือมาใช้ พลเอกเปรม ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเงินเท่าไหร่ แต่ท่านมีที่ปรึกษาหลายคนมีความเห็นมากมาย และท่านก็เลือกที่จะฟังคนที่ไม่มีผลประโยชน์ ซึ่งน่าเชื่อถือว่า มากกว่า”

กรณีที่รัฐบาลระบุว่า เมื่อกฎหมายงบประมาณ 2563 ผ่านแล้ว จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ เรื่องดังกล่าว ตนเห็นว่า ไม่จริง เพราะการใช้จ่ายรัฐบาลคิดเป็น 18% ของจีดีพีเท่านั้น ขณะที่งบลงทุนมีเพียง 20% ของงบประมาณรวม จึงไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ส่วนมาตรการชิมช้อปใช้ที่ออกมาก็เป็นมาตรการที่เรียกว่าป่าหี่หลอกได้เฉพาะคนเมืองเท่านั้น