EA หวังคงสถานะ ‘หุ้นเติบโต’ เร่งส่งมอบ‘รถอีวี’กลางปีนี้

EA หวังคงสถานะ ‘หุ้นเติบโต’  เร่งส่งมอบ‘รถอีวี’กลางปีนี้

นับแต่เข้าจดทะเบียนในปี 2556 บมจ.พลังงานบริสุทธิ์(EA) เป็นหนึ่งในหุ้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในแง่ของการทำกำไร จากกำไรสุทธิ 267.92 ล้านบาท ในปี 2556 เพิ่มขึ้นมาเป็น 6,081.62 ล้านบาท ในปี 2562 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบ CAGR ถึง 68.36%

ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ก็ขยับจาก 2.8 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ราว 1.5 – 1.6 แสนล้านบาท ในปัจจุบัน

การเติบโตของ EA ที่ผ่านมา มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน คือ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ซึ่งทยอยลงทุนและเปิดดำเนินการมาต่อเนื่องในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา จนมีกำลังการผลิตรวมกว่า 600 เมกะวัตต์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 76% จากรายได้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2562 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ EA เดินมาถึงจุดที่เริ่มมี "คำถาม" เกิดขึ้นว่า บริษัทจะเติบโตไปได้อย่างไรต่อ หลังจากที่โครงการโรงไฟฟ้าหลักๆ ของบริษัททยอยเปิดดำเนินการไปจนครบหมดแล้ว ขณะที่โอกาสของการลงทุนใหม่ๆ ก็ยังไม่ได้มีออกมาให้เห็นนัก จนทำให้บริษัทต้องพยายามที่จะหันไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะทดแทนการเติบโตแบบที่ผ่านมาในประเทศได้

อมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เปิดเผยถึงทิศทางของบริษัทในช่วงถัดจากนี้ว่า ภาพโครงสร้างรายได้ของบริษัทในปีนี้อาจเริ่มเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย หลังจากที่ธุรกิจใหม่ๆ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า  แบตเตอรี่ สถานีชาร์จไฟฟ้า รวมถึงไบโอดีเซลที่ขยายตัวมากขึ้น เริ่มสร้างรายได้เข้ามาอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง 

ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของบริษัทจะเริ่มเปลี่ยนชัดเจนในปี 2564 โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าอาจจะลดลงมาเหลือ 40-45% ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าที่จะทยอยส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ น่าจะมีสัดส่วนขยับขึ้นมาเป็น 25-30% และธุรกิจไบโอดีเซล ประมาณ 20% ที่เหลือก็เป็นธุรกิจอื่นๆ

“ธุรกิจใหม่ที่บริษัทมุ่งจากนี้ไป เริ่มมีภาพที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่ามาร์จินของธุรกิจใหม่อาจจะไม่ได้สูงเท่ากับโรงไฟฟ้าที่มีมาร์จิ้น50% แต่ด้วยโอกาสของการเติบโตที่สูงในอนาคตเพราะ สุดท้ายรถยนต์ไฟฟ้าจะมาแทนรถยนต์น้ำมัน ก็มีแนวโน้มที่ธุรกิจเหล่านี้จะสร้างกำไรให้กับบริษัทได้ไม่แพ้โรงไฟฟ้าเช่นกัน”

สำหรับโครงการที่น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดในปีนี้ คือ ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ Mine ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทคือ การเข้าไปรุกตลาดของรถแท็กซี่  มีโอกาสเติบโต และมีคู่แข่งน้อย ในอนาคตบริษัทหวังว่ายอดของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้จะทำได้ 10,000 – 20,000 คันต่อปี และบริษัทมีแผนที่จะรับจ้างประกอบรถบรรทุกและรถบัสไฟฟ้า เพื่อใช้กำลังการผลิตในโรงงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขณะนี้มีผู้ติดต่อมาแล้ว ทำให้บริษัทต้องมีการขยายโรงงาน

นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว EA ยังพยายามสร้างธุรกิจนี้ให้ครบวงจร ด้วยการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาวที่ 50 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในเฟสแรกจำนวน 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมงใช้เงินลงทุน 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ลงทุนสร้างสถานีบริการชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย

สำหรับราคาหุ้นของบริษัทในช่วงที่ผ่านมายังไม่ตอบรับเชิงบวกกับธุรกิจใหม่ของบริษัท เพราะ นักลงทุนยังมีคำถามว่าจะสามารถส่งมอบได้หรือไม่ นักลงทุนจึงให้มูลค่าไม่มาก แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหากบริษัทส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้ เรือไฟฟ้าเริ่มเปิดดำเนินการ โรงงานแบตเตอรี่เสร็จ เชื่อว่าราคาจะตอบรับเชิงบวกมากขึ้น  

“เป้าหมายสำคัญที่บริษัทพยายามขยายธุรกิจในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะเชื่อว่าเทรนด์ของอุตสาหกรรมรถยนต์จะมาในทิศทางนี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังอยากจะคงสถานะของการเป็น Growth stock (หุ้นเติบโต) อย่างในอดีต แม้อีกมุมหนึ่งจะเป็นความเสี่ยงของบริษัท แต่ก็แลกมาด้วยโอกาส และภาพวันนี้ก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าบริษัทไม่ได้เดินมาผิดทาง ซึ่งวันนี้เรามาไกลเกินกว่าคำว่า Fail ไปมากแล้ว ถ้าจะมีคงเป็นแค่ Delay เล็กน้อยเท่านั้น เราเชื่อว่าวันที่ส่งมอบรถยนต์คันแรกได้ และคนเห็นรถเราวิ่งบนท้องถนน ถึงตอนนั้นความเชื่อมั่นจะกลับมาเอง"

 อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าปี 2563 จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี2562 ที่มีรายได้รวม14,954.54 ล้านบาท  เนื่องจากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าสู่ระบบครบจำนวน 664 เมกะวัตต์เต็มปี ประกอบกับรับรู้รายได้จากธุรกิจขายรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะส่งมอบในครึ่งปีหลังและจะรับรู้ธุรกิจไบโอดีเซลฯลฯ