‘บิวตี้’ ชูเป้าโต 20% ไม่หวั่นไวรัสโคโรน่า

‘บิวตี้’ ชูเป้าโต 20% ไม่หวั่นไวรัสโคโรน่า

“บิวตี้ คอมมูนิตี้” ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิ 15% เหตุเล็งเพิ่มช่องทางจำหน่ายในต่างประเทศ-รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ ยอมรับผลกระทบเชื้อไวรัสโคโรน่าอาจฉุดยอดขายช่วง1-2 เดือน แต่ยังคงเป้าในจีนเดือนละ 50 ล้าน ยันไม่มีนโยบายซื้อหุ้นคืน

นายสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 20% จากปีก่อน พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 15% โดยบริษัทจะเน้นกลยุทธ์หลักใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.การขยายช่องทางการขายในตลาดต่างประเทศ 2.การเพิ่มอัตราการเติบโตของช่องทางร้านค้าปลีก และ3.การรุกตลาดออนไลน์ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ในส่วนของยอดขายในต่างประเทศปีนี้ บริษัทตั้งเป้าทำรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะช่วยหนุนสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 36% จากเดิมที่อยู่ระดับ 26% โดยจะเน้นการขยายช่องทางการขายเชิงรุกใน 16 ประเทศที่บริษัทมีตัวแทนจำหน่ายแล้ว ซึ่งจะเจาะตลาดหลัก ๆ ได้แก่ เวียดนาม,อินโดนีเซีย,อินเดีย และเมียนมา เป็นต้น ขณะที่สัดส่วนยอดขายในประเทศคาดว่าจะลดลงเหลือ 63% จากเดิมที่อยู่ระดับ 72%

ส่วนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ยอมรับว่าอาจมีผลต่อยอดขายของบริษัทบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่มาก เพราะคาดว่าทางการจีนน่าจะแก้ปัญหาการระบาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายไปประเทศจีนราว 50 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่มีการปรับลดเป้าหมายของยอดขายในจีนลง โดยคาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวน่าจะกระทบยอดขายเพียงในช่วง 1-2 เดือนของปีนี้ ซึ่งระยะสั้นบริษัทมีแผนที่จะกระจายสินค้าไปยังประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแทน ส่วนในระยะยาวจะพยายามกระจายพอร์ตยอดขายในประเทศอื่น ๆ เพิ่ม

“ยอมรับว่าโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาอาจมีผลกระทบต่อยอดขายบริษัท แต่จะมากน้อยแค่ไหนต้องดูระยะเวลาว่าการระบาดนานหรือไม่ โดยเราจะแก้ปัญหาให้ถูกกระทบน้อยที่สุด ซึ่งบริษัทมีแผนทั้งระยะสั้นถึงระยะยาวเพื่อรองรับปัจจัยดังกล่าว

นายสุวิน กล่าวต่อว่า ในส่วนราคาหุ้นนั้น มองว่าเป็นเรื่องของกลไกทางตลาด ส่วนตัวไม่มีนโยบายการซื้อหุ้นคืนในตอนนี้ และการทำโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทก็เพิ่งทำไปเมื่อช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.2562 ซึ่งหากจะดำเนินการอีกครั้งต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี หรือราวปี 2565 นอกจากนี้ส่วนตัวยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นในส่วนของตนเองออกมา โดยยังเน้นคงสัดส่วนการถือหุ้นเท่าเดิม