'แอสเซทพลัส' ปั้นเอยูเอ็มโต 7 พันล้าน

'แอสเซทพลัส' ปั้นเอยูเอ็มโต 7 พันล้าน

“บลจ.แอสเซทพลัส” เปิดแผนงานปี 63 ตั้งเป้าเอยูเอ็มเพิ่ม 5-7 พันล้านบาท เติบโต 23% แตะ 4 หมื่นล้านบาท  มุ่งเน้นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ชี้ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนในระดับ 3-4% มองหุ้นกลุ่มอสังหาฯและกองทุนโครงสร้างพื้นฐานน่าสนใจ 

นายคมสัน ผลานุสนธิ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้ที่ 40,000 ล้านบาท เติบโต 23% หรือเพิ่มขึ้น 5,000-7,000 ล้านบาท จากปีก่อนมี AUM ที่ 32,500 ล้านบาท เติบโต 3% โดยปัจจุบันมีกองทุนส่วนบุคคลที่ 6,700 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านบาทในปีนี้ และกองทุนรวม 25,800 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 3,000-5,000 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมุ่งนำเสนอกองทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและไม่ผันผวน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนในภาวะตลาดหุ้นผัวผวนและเศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น โดยพบว่าลูกค้าต้องการผลตอบแทนในระดับ3-4% 

ล่าสุด บริษัทเสนอขายกองทุนเปิด แอสเซทพลัส อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เฟล็กซิเบิล (ASP-PROPIN) มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท กำหนดเสนอขายครั้งแรก( IPO ) ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.-7 ก.พ.2563 ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนและเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในช่วงที่สภาวะตลาดผันผวน เน้นการลงทุนในหน่วยลงทุน TH REITs ,TH Infrastructure และ SG REITs รวมถึงลงทุนใน Lazard Global Listed Infrastructures Equity Fund ที่ลงทุนในหุ้น Global Infarstructure ผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ย 8% ต่อปี

ด้านตลาดหุ้นไทยในปีนี้ คาดการณ์กรอบล่างดัชนีที่ระดับ 1,450-1,500 จุด และกรอบบน1,600-1,650จุด กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนมีเพียง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอสังหาทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ให้ผลตอบแทนปันผลในระดับ 4-5% ไม่ผันผวนมาก และกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก เน้นคัดเลือกรายตัว ในบริษัทที่ยังมีผลประกอบการเติบโตระดับ30-50%ต่อปี ในกลุ่มไฟแนนซ์และเทคโนโลยี ขณะที่กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หาจังหวะเข้าลงทุนระยะสั้นได้เท่านั้น โดยเข้าซื้อเมื่อราคาปรับลงมาและขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น

“เราคาดว่าในปีนี้ยังเป็นเทรนด์แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นยังมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่หุ้นไทยคาดเดายากทำให้นักลงทุนยังกล้าๆกลัวๆ และยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโคโรนา แต่คาดว่าจะอยู่กับเราไปอีก 1-2 เดือน น่าจะคุมสถานการณ์ได้ จึงมองว่าช่วงนี้ราคาหุ้นเป็นโอกาสที่เข้าซื้อได้” 

ส่วนตลาดหุ้นโลกในปีนี้กลับมาฟื้นตัว แต่โดยรวมอยู่ในช่วงชะลอตัวในปลายวัฎจักร และมีความเสี่ยงจากปัจจัยที่รอการคลี่คลาย อาทิ การตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในขั้นถัดไป ความเสี่ยงเรื่องการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ทำให้ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มผันผวน และอาจสร้างผลตอบแทนไม่ได้โดดเด่นมากนัก การลงทุนในหุ้นอย่างเดียวอาจส่งผลให้พอร์ตมีความเสี่ยงมากเกินไป ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ก็มีผลตอบแทนต่ำ

ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนกระจายน้ำหนักไปยังสินทรัพย์ทางเลือก กลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะกองรีท ที่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ มูลค่าพื้นฐานของรีท แต่ละกลุ่มได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงมีความน่าสนใจ