ถอดรหัส เกมแก้รัฐธรรมนูญ ‘ปชน.’ เล่นบท 'ค้าน' เพื่อรอ 'ค้ำ'

มติรัฐสภา วาระสอง เห็นด้วย กับ2กลไกทำรธน.ใหม่ ที่รัฐสภาคัดเลือก โดย"ปชน.-พท." แสดงจุดยืนคัดค้าน ทำให้มีคำถามว่า วาระสามจะโหวตคว่ำ-ล่มแก้รธน.รอบนี้หรือไม่
KEY
POINTS
- พรรคประชาชน ลงมติ "ไม่เห็นด้วย" กับกลไกร่างรัฐธรรมนูญในวาระสอง เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองและใช้เป็นประเด็นในการหาเสียง
- มีการวิเคราะห์ว่าพรรคประชาชนจะเปลี่ยนมาลงมติ "เห็นด้วย" ในวาระสาม เพื่อให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ถูกคว่ำ
- ยุทธศาสตร์ "ค้านเพื่อค้ำ" นี้มีเป้าหมายเพื่อปลดล็อกการแก้รัฐธรรมนูญ และรณรงค์ให้ประชาชนเลือก สส. ของพรรคให้มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อได้สิทธิเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก
เสียงข้างมากของ “รัฐสภา” ในวาระสอง เห็นชอบกลไกทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ให้มี “กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 35 คน และ “กรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 35 คน มาจากการคัดเลือกของ “รัฐสภา” โดยตรง
มติลงคะแนนที่ปรากฎ คือ 328 เสียงเห็นด้วย จะพบว่าเป็นเสียงของ สส.พรรครัฐบาล นำโดย "พรรคภูมิใจไทย -พรรคกล้าธรรม” ผสมกับ “พรรคขั้วอนุรักษ์นิยม” และ “กลุ่มสว.สีน้ำเงิน”
ขณะที่อีก 266 เสียง “ไม่เห็นด้วย” เป็นเสียงส่วนใหญ่ของ “พรรคประชาชน-พรรคเพื่อไทย” และมีสว.ผสมโรง 17 เสียง
ความน่าสนใจของประเด็นนี้ อยู่ที่ประเด็นไม่เอาตาม “กมธ.เสียงข้างมาก” โดย “พรรคประชาชน” มีเหตุผล เพื่อแสดงจุดยืน ต่อการพิทักษ์องค์กรทำรัฐธรรรมนูญใหม่ ผ่านโมเดล กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม และ สภาที่ปรึกษาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้ง 100%
ส่วน “พรรคเพื่อไทย” ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการชูธง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ สสร. และกำหนดสัดส่วนผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ตามคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญ ขีดเงื่อนไขที่รัฐสภาต้องโหวตผู้ร่างโดยได้เสียงสนับสนุนจากทุกขั้ว
ดังนั้น สิ่งที่จับตาต่อจากนี้ไป คือ ผลการลงมติในวาระสาม ที่จะเกิดขึ้นหลังจากพ้นวันนี้ ไปไม่น้อยกว่า 15 วัน
เมื่อ 2 พรรคนี้ “ชูธง” ไม่เอา กลไกทำรัฐธรรมนูญ ที่ให้อำนาจรัฐสภาชุดหน้ากำหนดทิศทางผู้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ บทลงเอยอาจนำไปสู่การ “โหวตคว่ำในวาระสาม” หรือไม่
มุมมองแรก ของบทสรุป อาจไม่ใช่ โหวตคว่ำ เพราะ “พรรคประชาชน” ฐานะฝ่ายค้านเบอร์หนึ่ง ที่มีสิทธิออกเสียงในเกณฑ์ 20% ชี้ทิศทางของร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดยุทธศาสตร์การเมือง วางโยงกับการเลือกตั้งรอบหน้าที่ปักธงได้ สส.เกิน 200 เสียง ไม่มีทางที่จะ “คว่ำ” เพราะเกมนี้ยิงปืนนัดเดียวได้ประโยชน์ 2 เด้ง เด้งแรก คือ หนทางที่นำไปสู่การปลดล็อก การแก้รัฐธรรมนูญ2560 และเด้งสอง คือ การโกยคะแนนนิยม
ประเด็นนี้มีมุมมองจาก “อ.สติธร ธนานิธิโชติ” นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า แม้การอภิปรายในวาระสอง พรรคประชาชนได้แสดงจุดยืนของตนเอง แม้ไม่ชนะเสียงข้างมาก แต่ในหลักการใหญ่ต้องให้ผ่าน เพราะหากปล่อยตกจะกลายเป็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญ2560 ไม่ได้ไปต่อ
ส่วนการคำอภิปรายในเวทีประชุมซึ่งย้อนแย้งกับความเห็นเสียงข้างมากของรัฐสภานั้น เชื่อว่าพรรคประชาชนจะเป็นคำอธิบายที่สามารถนำไปขยายผล และวางเป็นยุทธศาสตร์หาเสียงในสนามเลือกตั้งได้ หากการเลือกตั้งรอบหน้ายังมีการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญไปในวันเดียวกัน
อ.สติธร ประเมินด้วยว่า "ด้วยสูตร 20 หยิบ 1 หากเป็นไปตามเนื้อหา สิ่งที่เขาต้องหาเสียง คือ ให้เลือกพรรคประชาชนเข้าไปเยอะๆ แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่จะได้จำนวนสส.ที่ได้จะเป็นสัดส่วนที่นำไปคำนวณต่อการแบ่งกลุ่มเพื่อเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่สร้างโอกาสเปลี่ยนแปลงเชิงเนื้อหาได้ หากหวังให้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก คือ 18 คน จากทั้งหมด 35 คนต้องได้สส. 360 คน หากเลือกสส.เข้าไปน้อย อาจโดนคนอื่นคุมเกม และไม่ได้รัฐธรรมนูญในแบบที่อยากได้”
ดังนั้นบทบาทของ “พรรคประชาชน” ต่อเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หลังแสดงจุดยืน “ค้าน” กลไกทำรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากการจัดตั้งของรัฐสภาแล้ว ในวาระสาม ต้องสวมบทบาท “ฝ่ายค้ำ” เพื่อให้ยุทธศาสตร์ที่วางไว้สำเร็จตามเป้าหมาย
ส่วนพรรคเพื่อไทย ที่ถูกจัดอยู่ในโซนฝ่ายค้าน แต่ด้วยสถานภาพ ที่มี “ไชยา พรหมา-ฉลาด ขามช่วง” สส.เพื่อไทย ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ ทำให้ไม่เข้านิยามที่เป็นฝ่ายค้าน ตามเงื่อนไขของมาตรา 256
ดังนั้น แม้ว่า “สส.เพื่อไทย” ส่วนใหญ่ จะลงเสียงไม่เห็นชอบ แต่ไม่อาจทำให้ “ร่างแก้รัฐธรรรมนูญ” ถูกคว่ำ หากเสียงโดยรวมยังเกินกึ่งหนึ่ง และมี “สส.พรรคประชาชน” สนับสนุนทั้งพรรค รวมถึงสว.เห็นชอบ 67 เสียง
ทว่า ในเชิงยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้านี้ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ เคยออกปากว่าหากการสู้ในวาระสอง ไม่สามารถออกแบบกลไกทำรัฐธรรมนูญที่ป้องกันการครอบงำของเสียงข้างมาก หรือ เปิดช่องให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้ อาจพิจารณาใช้แทกติกทางการเมืองยื่น อภิปรายไม่ไว้วางใจ “รัฐบาล-อนุทิน ชาญวีรกูล” เพื่อให้นำมาซึ่งการตัดสินใจ “ยุบสภา"
โดยนัย คือเพื่อโยนความผิด ไปให้ “พรรคภูมิใจไทย” ฐานะผู้ตัดตอน “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติวาระสาม
กับประเด็นนี้ในสถานการณ์การเมืองที่คุกรุ่น ทั้งปัจจัยความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และภัยพิบัติ “พรรคเพื่อไทย” อาจต้องชั่งใจในทิศทางให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัย ที่ส่งผลทางการเมืองทั้งระยะสั้น และระยะยาวของ “พรรคเพื่อไทย”
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ หลังจากที่จบการพิจารณาวาระสองของร่างแก้รัฐธรรมนูญ จะมีวาระต่อที่ให้รัฐสภาลงมติในญัตติด่วน เพื่อขอให้ส่งคำถามประชามติ ข้อแรก ว่า ประชาชนเห็นด้วยต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่ ไปให้ “ครม.” รับไปดำเนินการ
สิ่งที่ถูกจับตา คือ จะใช่สัญญาณ “ตัดตอน” ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสามหรือไม่ เพราะหากถูกคว่ำ หรือถูกตัดตอน แต่คำสัญญาที่เป็นไปตาม “ข้อตกลงทางการเมือง” จะยังถูกรักษาไว้ เพื่อให้ “ประชาชน” ได้สิทธิทำประชามติโละรัฐธรรมนูญ 2560 ไปในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง หลังยุบสภา







