'เอสซีจี' ชี้ปิโตรเคมีขาลง รั้งยอดขายปีนี้ 'ทรงตัว'

'เอสซีจี' ชี้ปิโตรเคมีขาลง รั้งยอดขายปีนี้ 'ทรงตัว'

“ปูนซิเมนต์ไทย” คาดยอดขายปี 63 ไม่เติบโตหรือใกล้ปี62ที่ทำได้ 4.37 แสนล้านบาท เหตุปิดซ่อมโรงผลิตโอเลฟินส์ 45 วัน-ธุรกิจปิโตรฯขาลง เล็งใช้งบลงทุน 6-7 หมื่นล้านบาท ลุยโครงการปิโตรเคมีเวียดนาม-ขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2563 น่าจะใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ทำได้ 437,980 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงผลิตของธุรกิจโอเลฟินส์เป็นระยะเวลา 45 วันในช่วงไตรมาส 2 ปี2563 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตหายไปกว่า 1 แสนตัน จากกำลังการผลิตทั้งปีที่อยู่ระดับ 2 ล้านตัน รวมถึงแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในสภาวะช่วงขาลง

ทั้งนี้มองว่าปีนี้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายการทำธุรกิจในหลายๆด้านทั้ง ความตึงเครียดในตะวันออกกลางตั้งแต่ช่วงต้นปี,ปัญหาเรื่องฝุ่นPM 2.5 ภายในประเทศ,เรื่องงบประมาณประจำปี 2563 ที่ส่อแววล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุนและทำให้ปริมาณความต้องการใช้ปูนในประเทศลดลง หลังจากปี 2562 ปริมาณการใช้ปูนเติบโตเพียง 1% ด้วยการขับเคลื่อนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และปัญหาภัยแล้งในประเทศ รวมถึงล่าสุดคือปัญหาโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่าที่อาจกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ

ขณะที่ด้านงบลงทุนนั้น บริษัทได้ตั้งเป้าเงินลงทุนไว้ประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าของการก่อสร้างไปแล้วกว่า 30% และใช้ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตมาบตาพุดโอเลฟินส์ ที่จังหวัดระยอง รวมถึงโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานบรรจุภัณฑ์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยในส่วนของงบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมกับงบการซื้อกิจการ (M&A)

นอกจากนี้คาดว่าบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภาย​ในช่วงกลางปี 2563 หลังจากที่ได้ยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ไปแล้ว​ในวันที่ 17 ธ.ค.2562 ที่ผ่านมา

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า ความผันผวนที่ผ่านมาทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และค่าเงินบาทที่แข็งค่า รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในภาวะขาลง ทำให้มาร์จิ้นสินค้าหลักหายไปกว่า 30% ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่เอสซีจีต้องเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สู้ศึกดิสรัปชันเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที และสามารถรักษาการเติบโตของธุรกิจไว้ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการทรานสฟอร์มปัจจัยภายในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้ส่งมอบโซลูชันและนวัตกรรมสินค้า-บริการ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาได้อย่างครบวงจร