คสช.ย้ำจนท.ใช้กฎหมายดำเนินคดี 'ธนาธร' ไม่ใช่การ 'ปิดปาก'

คสช.ย้ำจนท.ใช้กฎหมายดำเนินคดี 'ธนาธร' ไม่ใช่การ 'ปิดปาก'

คสช. โต้ แอมเนสตี้ ยืนยันเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ใช้กระบวนทางกฎหมายปิดปากใคร อย่างที่ถูกกล่าวหา พร้อมแจง การดำเนินคดีเป็นไปตามเหตุแห่งพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือนักการเมืองใดก็ตาม

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.62 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. ได้กล่าวถึง กรณีแอมเนสตี้ออกมาเรียกร้องในคดี นายธนาธรณ์ ระบุใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามการเมืองนั้น อาจเป็นความเข้าใจที่สับสน การดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายกติกาสังคม ไม่น่าใช่การจะไปปิดหรือเปิดปากใคร เท่าที่เห็นการพูดแสดงความเห็นในเรื่องใดๆ ก็ยังทำได้ปกติ และด้วยลักษณะเฉพาะตัวของหลายๆบุคคล เชื่อว่าไม่มีปัจจัยไหน ที่จะไปบีบบังคับใครได้ การให้ความเห็นของบางองค์กรต่างประเทศ อาจมีลักษณะเฉพาะตามธรรมเนียมองค์กร ที่ได้รับข้อมูลมาแบบจำกัด ไม่ต่างจากอดีต เชื่อคนส่วนใหญ่คุ้นชิน

ยืนยันผู้ถูกกล่าวหาได้รับสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติ เช่นการใช้พยานหลักฐานในการพิสูจน์ความจริง การแก้ข้อกล่าวหา การใช้กลไลในกระบวนการสืบสวนสอบสวน การได้รับสิทธิคุ้มครองตามหลักกฎหมาย ไม่แตกต่างจากการดำเนินคดีของบุคคลอื่นๆในคดีอื่นๆ ในศาลเฉพาะทางอื่นๆ เชื่อว่า จนท.ดำเนินคดีตามหลักกฎหมาย เคารพในสิทธิเสรีภาพของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดี

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้ การดำเนินคดีเป็นไปตามเหตุแห่งพฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองท่านใดฝ่ายใด หากเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิด ก็เป็นเรื่องที่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามกระบวนการสากล

สำหรับการพิจารณาคดีในอำนาจของศาลทหาร อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งผลการพิจารณาคดีที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฏพบข้อกังขาใดๆ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตาม พยานหลักฐาน ที่ปรากฎ

รองโฆษก คสช. กล่าวว่า ยืนยันเป็นกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ทุกฝ่ายได้พิสูจน์ความจริง เป็นสิ่งที่เป็นหลักสากล ไม่มีวิธีการใดเลยที่เป็นการ "ปิดปาก" อย่าที่ แอมเนสตี้ใช้คำนี้กล่าวหาทางการไทย ขอเรียนว่า สังคมไทยเป็นหนึ่งเดียวแม้จะมีหลากหลายในความคิดเห็นทางการเมือง คนไทยทุกคนก็ยังได้รับการปฎิบัติในมาตรฐานเดียวกัน ส่วนผู้ที่กระทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินการตามหลักนิติรัฐ เพื่อความสงบสุขของสังคมไทย การเรียกร้องสิทธิตามบทบาทขององค์กรฯก็ว่ากันไป แต่ควรหลีกเลี่ยงการสร้างให้สังคมไทยเกิดการแบ่งฝ่าย และขอให้รับฟังกระแสสังคมไทยส่วนใหญ่ต่อประเด็นดังกล่าวด้วย เพื่อวางบทบาทขององค์กรในจุดที่พอเหมาะพอควรต่อไป