เปิดอำนาจ-หน้าที่ - ข้อห้าม ครม.หลังยุบสภาฯ ห้ามทำโครงการผูกพันรัฐบาลใหม่ เว้น กกต.อนุมัติ

เปิดอำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังยุบสภาฯ สถานะ ครม. สิ้นสุดลงแต่ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่าจะมี ครม.ใหม่ เปิดข้อห้าม ทำได้และทำไม่ได้ โดยเฉพาะในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสในการเลือกตั้ง
ภายหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร และเผยแพร่ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า “ผมขอคืนอำนาจให้กับประชาชน“ ซึ่งถือว่าเป็นความชัดเจนในเรื่องของการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีในวันนี้
การยุบสภาฯทำให้อำนาจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถูกจำกัดตามข้อกฎหมาย
"กรุงเทพธุรกิจ" อ้างอิงจากการยุบสภาในปี 2566 สถานะของครม. ตามกฎหมาย แม้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังคงต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ครม. ชุดใหม่เข้ารับตำแหน่ง
ทั้งนี้ สถานะของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันไม่ได้ถูกเรียกว่า "รักษาการ และนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็ยังคงลงลายมือชื่อในตำแหน่งเดิม แม้จะสิ้นสุดสถานะไปแล้ว แต่ ครม. ยังคงได้รับเงินเดือนตามปกติ และยังไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในทันที
การปฏิบัติหน้าที่ที่ยังคงดำเนินไปได้ โดยคณะรัฐมนตรียังคงมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศเท่าที่จำเป็นทุกประการ รวมถึงการมีอำนาจประกาศมาตรการเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เช่น การประกาศภาวะฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก หากมีสถานการณ์คุกคาม
การประชุมคณะรัฐมนตรีสามารถประชุมต่อไปได้ตามปกติ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาจัดเฉพาะระเบียบวาระที่เป็นไปตามปกติปฏิบัติ
นอกจากนี้ การดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานประจำตามปกติก็ยังสามารถดำเนินการได้
ในส่วนของงานด้านกฎหมาย ร่างอนุบัญญัติ เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวง ที่เป็นการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บท ย่อมสามารถดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ และหากร่างอนุบัญญัติดังกล่าว ครม. เคยมีมติอนุมัติหลักการไว้ก่อนยุบสภา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้ประกาศใช้บังคับต่อไปได้
ส่วนข้อจำกัดและข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ ตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างระมัดระวังและไม่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ รัฐธรรมนูญมาตรา 169 ได้กำหนดข้อจำกัดหลายประการ ดังนี้
1. ห้ามอนุมัติงานหรือโครงการ ไม่กระทำการใดอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี
2. การแต่งตั้งโยกย้าย ต้องไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน
การดำเนินการดังกล่าวต้องกระทำเท่าที่จำเป็น เพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ หรือความปลอดภัยสาธารณะเท่านั้น ในการดำเนินการนี้ หน่วยงานต้องจัดทำบัญชีรายชื่อ ประวัติย่อ และเหตุผลความจำเป็นในการใช้อำนาจเสนอต่อ กกต.
3.การใช้งบประมาณสำรองจ่ายฉุกเฉิน ไม่กระทำการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน
การใช้อำนาจนี้จะต้องเป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเพื่อบรรเทาภัยพิบัติแก่ประชาชน
สำหรับข้อพึงระวังในการหาเสียงและการใช้ทรัพยากรของรัฐ คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้ทรัพยากรหรือบุคลากรของรัฐ
โดยต้องไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง เช่น การกำหนดนโยบาย โครงการ หรือแผนงานที่มีผลบังคับใช้ทันทีและมีลักษณะสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง การประชุม ครม. นอกสถานที่นอกเหนือจากการประชุมปกติ และมีการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่กระทำมิได้
รัฐมนตรีต้องงดเว้นการกำหนด สั่งการ หรือมอบหมายให้มีการอนุมัติ โอน หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ หรือทำการแจกจ่ายทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่ประชาชน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายหรือเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน แต่ต้องไม่เป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง
หากรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสงค์จะใช้เวลาหาเสียงเลือกตั้ง ต้องลากิจต่อนายกรัฐมนตรีและห้ามใช้เวลาราชการในการหาเสียง
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ ห้ามบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองหรือเข้าร่วมกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง
นอกจากนี้ รัฐมนตรีทุกท่านควรระมัดระวังเป็นพิเศษเรื่องการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ ป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีรูปภาพของรัฐมนตรีปรากฏอยู่ ควรจะปลดป้ายหรือยกเลิกการโฆษณาประชาสัมพันธ์ดังกล่าวทั้งหมดเว้นแต่เป็นการโฆษณาที่ใช้เงินของพรรคการเมือง
ขณะที่การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในฐานะรัฐมนตรี ควรให้สัมภาษณ์ได้เฉพาะหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้น และควรระวังไม่ให้คำสัมภาษณ์เป็นการให้คุณต่อ
พรรคการเมืองของตนโดยมิชอบ ห้ามใช้รถประจำตำแหน่งและเจ้าหน้าที่ของทางราชการที่ไม่ได้ใช้ในการปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรี
ส่วนการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันจะยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นวันพ้นจากตำแหน่ง โดยต้องยื่นภายใน 60 วันนับแต่วันถัดจากวันดังกล่าว
ในกรณีที่รัฐมนตรีมีสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินสองครั้ง คือภายใน 60 วัน นับแต่วันถัดจากวันพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. (วันที่ยุบสภา) และยื่นอีกครั้งเมื่อพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี (วันที่ ครม. ใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณ)







