


ผู้การฯ กองปราบ สั่งล่าตัวสาวเมืองเลยจอมแสบ หลังออกอุบายตุ๋นหนุ่ม 12 รายแต่งงาน หวังเชิดสินสอดทองหมั่น ตรวจสอบประวัติสุดโชกโชน พบ 5 หมายจับ
จากกรณีนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยผู้เสียหายเป็นชาย 12 ราย ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดกับ น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดเลย ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง หลังผู้เสียหายทั้งหมดถูก น.ส.จริยาภรณ์ หลอกเอาเงินค่าสินสอด โดยทำทีเข้ามาตีสนิทในเชิงชู้สาว และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เมื่อผู้เสียหายเกิดตกหลุมรักและหลงเชื่อว่า น.ส.จริยาภรณ์ มีใจให้จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ จากนั้น น.ส.จริยาภรณ์ ก็จะออกอุบายโดยอ้างว่าได้ตั้งครรภ์ และขอให้ผู้เสียหายรับผิดชอบโดยการแต่งงาน แต่เมื่อมีการจัดงานแต่งงาน หรือได้รับเงินค่าสินสอดเสร็จสิ้นแล้ว น.ส.จริยาภรณ์ ก็จะทำทีขอเดินทางกลับไปหาญาติที่ภูมิลำเนา ก่อนจะขาดการติดต่อไปในที่สุด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป) พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า หลังจากที่ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวน บก.ป.แล้วนั้น เจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำผู้เสียหายไปแล้วจำนวน 4 ราย และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณากรณีดังกล่าว ว่าการกระทำในลักษณะนี้ของน.ส.จริยาภรณ์ เข้าข่ายในความผิดใดบ้าง และมีบุคคลอื่นร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุข้อกล่าวหาที่จะเอาผิด และออกหมายจับกับ น.ส.จริยาภรณ์ ที่แน่ชัดได้ เนื่องจากต้องมีการสอบปากคำพยาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายราย
ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า ในส่วนของการสอบปากคำผู้เสียหายทั้ง 4 คน ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน โดยขณะนี้ทราบว่า น.ส.จริยาภรณ์ มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในพื้นที่ จ.สระแก้ว และยังมีประวัติพฤติกรรมติดการพนัน โดยมักจะไปเล่นการพนันในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีชายแดนติดกับจังหวัดสระแก้ว อยู่เป็นประจำ ซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ น.ส.จริยาภรณ์ จำเป็นต้องใช้กลอุบายหลอกลวงเหยื่อ เพื่อนำเงินมาใช้หนี้การพนัน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบประวัติของหญิงสาวรายนี้ ยังพบว่า ในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ เทศบาลตำบลแห่งหนึ่งใน จ.เลย แต่เนื่องจาก น.ส.จริยาภรณ์ มักชอบไปอ้างว่าสามารถฝากคนเข้าทำงานที่เทศบาลดังกล่าวได้ พร้อมกับมีการเรียกรับเงินจากผู้เสียหายรายละ 100,000–130,000 บาท แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถ ฝากผู้เสียหายเข้าทำงานในเทศบาลดังกล่าวได้จริง จนมีการแจ้งความดำเนินคดี และมีการออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งจากกรณีดังกล่าวจึงทำให้ น.ส.จริยาภรณ์ ถูกให้ออกจากราชการเมื่อปี 55 กระทั่งมาก่อเหตุดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ยังได้เตรียมทำการเชิญตัว น.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูก น.ส.จริยาภรณ์ นำชื่อไปใช้ในการแอบอ้างตัวกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกให้แต่งงานด้วย มาทำการสอบปากคำหาข้อเท็จจริง โดยจะมีการตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวด้วยหรือไม่ เนื่องจากบัญชีธนาคารที่ น.ส.จริยาภรณ์ ให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปให้นั้น เป็นชื่อบัญชีของ น.ส.สร้อยเพ็ชร อีกทั้งจากการตรวจสอบประวัติของน.ส.สร้อยเพ็ชร ยังพบว่า เป็นคนภูมิลำเนาเดียวกันกับ น.ส.จริยาภรณ์ รวมถึงจะทำการเชิญตัวนายบุญเลี้ยง บัวใหญ่ และนางสำโรง บัวใหญ่ พ่อและแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ เข้ามาพบพนักงานสอบสวนด้วย เนื่องจากในวันที่ น.ส.จริยาภรณ์ แต่งงานกับผู้เสียหายนั้น พบว่า ทั้งพ่อและแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ ได้เดินทางมาเข้าร่วมภายในพิธีแต่งงานดังกล่าวด้วยทุกงาน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าบุคคลดังกล่าวทั้งหมดนี้ อาจจะมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการหลอกลวงผู้เสียหายดังกล่าวด้วย
รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า สำหรับการติดตามตัวนั้น พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กองกำกับการต่างๆ ในสังกัดกองปราบปราม เร่งกระจายกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสติดตามตัว น.ส.จริยาภรณ์ มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากการตรวจสอบประวัติคดีอาชญากรรมของ น.ส.จริยาภรณ์ พบว่า มีหมายจับในคดีฉ้อโกง ลักทรัพย์ ติดตัวในพื้นที่ต่างๆ ถึง 5 หมายจับด้วยกัน อาทิ จ.ปทุมธานี จ.สมุทรปราการ จ.ชุมพร จ.เลย จ.จันทบุรี อย่างไรก็ตาม สำหรับตัว น.ส.จริยาภรณ์ ทางตำรวจเชื่อว่าน่าจะยังคงกบดานอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน




