ใครทำสกลฯ "จมน้ำ" 

ใครทำสกลฯ "จมน้ำ" 

วิกฤต สกลนคร และจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ ภาคอีสาน-ภาคเหนือ "จมน้ำ" นอกจากจะเป็นอิทธิพลจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทำให้เกิดความ “ฉับพลัน” ชนิดหลายคนไม่ทันทั้งตัว

เรื่องนี้ การจัดการรับมือภัยพิบัติก็กลายเป็นอีกประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่ไหลบ่าทั้งในโลกออนไลน์ และสื่อกระแสหลัก 

จนมาถึงคำถามคลาสสิกเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ ดินแดนพระธาตุเชิงชุม ประสบอุทกภัยหนักสุดในรอบ 30 ปี จน “อ่วม” ไปทั้งเมืองอย่างนี้ เป็นเพราะอะไรกันแน่ 

ทางกรมชลประทานอธิบายถึงมูลเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำทะลักมาจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ ระดับน้ำในหนองหารที่สูงเกินไปทำให้สูบระบายน้ำได้ไม่มากเท่าที่ควร และสิ่งกีดขวางทางน้ำ

ทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ให้รายละเอียดว่า เส้นทางการไหลของน้ำในเขตเมืองสกลนคร เกือบทั้งหมดจะไหลไปรวมลงสู่หนองหาร และระบายออกทางลำน้ำก่ำเพียงลำน้ำเดียว ก่อนจะไหลไปลงแม่น้ำโขง แต่เนื่องจากลำน้ำก่ำมีปริมาณน้ำเต็มความจุของลำน้ำแล้ว ทำให้การระบายน้ำจากหนองหาร ไม่สามารถระบายได้อย่างสะดวก จึงทำให้เกิดการท่วมขัง 

สำหรับประเด็นสิ่งกีดขวางทางน้ำนั้น สรรค์สนธิ บุณโยทยาน ข้าราชการบำนาญ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เขียนบทความเรื่อง ปัญหาน้ำท่วม "ตัวเมืองสกลบทเรียนที่น่าจะถึงเวลาสรุปเสียที เล่าถึงพัฒนาการของปัญหา “การพัฒนาเมือง” จน “กีดขวางทางน้ำ” และกลายเป็นความเรื้อรังเวลา “น้ำทะลัก” ทุกครั้งในระยะหลัง 

ตั้งแต่ปี 2500 ตัวเมืองสกลนครถูกพัฒนาด้วยการตัดถนนหลายสาย บางสายขวางลำห้วย ถมหนองน้ำ ถมลำห้วย สร้างอาคารสารพัดประเภท โดยลืมนึกถึงทางเดินของน้ำที่มีอยู่แต่เดิม

เขายกตัวอย่างพื้นที่รับน้ำฝนบริเวณที่ดอนด้านทิศตะวันตกของตัวเมืองมีประมาณ 100 ตารางกิโลเมตร หรือ 62,500 ไร่ 

ถ้ามีฝนตกลงมาเพียง 1 มม. จะได้น้ำ 100,000 ลบ.ม. ถ้าตก 50 มม. ก็เท่ากับ 5 ล้าน ลบ.ม. และเอาแบบสุดๆ ที่ 100 มม. จะได้น้ำ 10 ล้าน ลบ.ม. คิดที่ 80% ของน้ำจำนวน 10 ล้าน = 8 ล้าน ไหลลงมาใส่ตัวเมืองสกลภายใน 1-2 วัน อะไรจะเกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน ตัวเมืองสกลนครมีพื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ ถ้าฝนตกลงมา 100 มม. จะได้น้ำ 240,000 ลบ.ม.

ถ้าเอาน้ำในตัวเมืองบวกกับที่ไหลลงมาจากที่ดอน มาพบกับทางระบายน้ำในตัวเมืองที่เต็มไปด้วยขยะอุดตันท่อระบายน้ำ....

ผลก็คือ “อ่วม” อย่างที่เห็น

ที่ผ่านมา สกลนคร เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเป็นศูนย์กลางบริหารราชการระดับจังหวัดขนาดใหญ่ เป็นแหล่งงานด้านอุตสาหกรรมและการบริการ ต่อจากกลุ่มจังหวัดศูนย์กลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่าง นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และมุกดาหาร ตามนโยบายการพัฒนาภาคอีสานของกระทรวงมหาดไทยทำให้มีการพัฒนาเมืองขึ้นมาตามลำดับ 

โดยเมื่อปี 2558 ได้มีการสำรวจ และออกแบบถนนเลี่ยงเมืองด้านทิศตะวันออก เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่เติบโตขึ้นในระดับจังหวัด และภูมิภาค

แต่นั่นอาจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย สำหรับวิกฤตน้ำรอบนี้ เพราะ ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยสารคาม มองว่า เขื่อน หรืออ่างเก็บน้ำในพื้นที่ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกมองข้าม โดยเฉพาะการประเมินความเสี่ยง และการเผยแพร่ข้อมูลที่แท้จริงให้แก่ประชาชนได้รับรู้ 

เขาระบุว่า หากมีการเตือนภัยที่ทันท่วงที การจัดลำดับความเสี่ยง หรือประเมินความเสี่ยงเพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉินได้ทันท่วงที 

ยิ่งกรณี "เขื่อนห้วยทรายขมิ้นแตก" ทำให้น้ำท่วมสกลนครอย่างหนัก ดร.ไชยณรงค์ นั้น ชี้ว่า กรมชลประทานที่รับผิดชอบโดยตรงกลับบิดเบือนข้อมูลสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน จนทำให้วิกฤตหนักขึ้น 

ขณะที่ สุชาติ เจริญศรี ผู้อำนวยการ สำนักงานชลประทานที่ 12 ได้ชี้แจงถึงกรณีอ่างเก็บน้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นน้ำล้นทางระบายน้ำ แต่หลายสื่อพากันนำเสนอว่าเขื่อนแตกทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งต้องยอมรับว่า น้ำส่วนที่ล้นจากอ่างลงไปท่วมพื้นที่ แต่ถึงไม่มีอ่างเก็บน้ำ น้ำก็ท่วมตามปกติอยู่แล้ว

ที่สำคัญคือ อ่างเก็บน้ำทุกแห่ง ต้องให้สังคมเชื่อมั่นว่า มีความมั่นคงแข็งแรง เพราะมีการก่อสร้างอย่างดี มีระบบการดูแลรักษาเป็นอย่างดีตลอดเวลา เพราะมันคือหัวใจของกรมชลประทาน

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นวิกฤตอีกครั้งหนึ่ง ที่น่าจะมีการถอดบทเรียน และนำไปสู่แนวทางรับมือที่มีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต 

ไม่ใช่ครั้งหน้าก็มานั่งโอดครวญ และหาคนผิดกันใหม่