ตลาดรถยนต์เร่งซื้อ รับ 'ภาษีสรรพสามิตใหม่' - 'หมดมาตรการ อีวี 3.0'

ตลาดรถยนต์ปลายปีคึกคัก เหตุผู้บริโภคเร่งการซื้อ หลังปีหน้าภาษีสรรพสามิตเพิ่มหลายกลุ่ม และหมดมาตรการ อีวี 3.0 ประเมิน 69 ทรงตัว-โตเล็กน้อย ลุ้นรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพ
ตลาดรถยนต์ไทยอยู่ในภาวะติดลบต่อเนื่องหลายปี จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นหลายอย่าง ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อยในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ด้วยยอดขายสะสม ม.ค.-ส.ค. เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบปี 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
จากนั้นยอดสะสม 9 เดือนขยับตัวเลขโดยเพิ่มขึ้น 2.5% และข้อมูลล่าสุดสะสม 10 เดือน เพิ่มขึ้น 3.92% ด้วยยอดขาย 495,001 คัน ขณะที่ยอดขายเฉพาะเดือน ต.ค. 47,032 คัน เพิ่มขึ้น 24.8%
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ตลาดรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นสูงในเดือน ต.ค. แสดงถึงสัญญาณเชิงบวกของตลาดรถยนต์
ส่วนตลาดรถยนต์เดือน พ.ย.มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภครอแคมเปญใหญ่ปลายปีในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ที่เพิ่งจบไปวานนี้ (10 ธ.ค.) ทำให้การตัดสินใจซื้อชะลอตัว
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยลบจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้กดดันความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ
-
มอเตอร์ เอ็กซ์โป ยอดจองพุ่ง
อย่างไรก็ตาม ประเมินกันว่า ตลาดรถยนต์ในช่วงปลายปี จะได้รับแรงกระตุ้นจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้เกิดแคมเปญส่งเสริมการขายจำนวนมาก รวมถึงด้านราคา
นอกจากนี้ยังมีแรงกระตุ้นจากมาตรการส่งเสริมการใช้งานอีวีระยะเร่งด่วน หรือ อีวี 3.0 ที่จะจบภายในปีนี้ ทำให้ปีหน้าจะไม่ได้รับการสนุนจากภาครัฐ รวมถึงการสนับสนุนการซื้อคันสูงสุดคันละ 150,000 บาท
และยังมีปัจจัยจากการการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ที่รถหลายกลุ่มจะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น ไล่ไปตั้งแต่ อีโค คาร์ ทั้งหมดเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเร่งซื้อภายในปีนี้
ซึ่งหลายแบรนด์ก็ออกมากระตุ้นผู้บริโภคในประเด็นเหล่านี้เช่นกัน เช่น อาวดี้ ประเทศไทย ที่ระบุชัดเจนว่าการรีบตัดสินใจจองและรับรถภายในปี 2568 เป็นเวลาที่ดีเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ให้ราคาดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด ก่อนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่จะทำให้ราคารถอาวดี้เกือบทุกรุ่นปรับเพิ่มขึ้น โดยบางรุ่นอาจขึ้นสูงถึงหลักล้านบาท
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ในปีนี้อาจจะขยายตัวได้เล็กน้อย และหากไปดูรายละเอียดภายในพบว่า เป็นการขยายตัวมาจาก อีวี จากมาตรการสนับสนุน
ขณะที่นักการตลาดหลายคนมองว่า แม้ผู้บริโภคจะมีความคาดหวังว่าอาจจะได้เห็นการลดราคาของอีวีอีกในวันข้างหน้าเนื่องจากที่ผ่านมาปรับลดหลายครั้งจนกลายเป็นสงครามราคา
แต่การที่ปัจจุบันใกล้ถึงวันหมดอายุมาตรการสนับสนันภาครัฐจากอีวี 3.0 และรถหลายรุ่นมีโครงสร้างราคาที่ต่ำมากอยู่แล้ว จึงอาจไม่ต้องการเสี่ยงรอราคาใหม่ในปีหน้า ทำให้ตัดสินใจซื้อในช่วงปลายปีนี้
การเร่งซื้ออาจจะสะท้อนผ่านงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ที่เพิ่งจบงานไปเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมาด้วยยอดจองรถยนต์รวม 75,246 คัน รถจักรยานยนต์ 5,263 คัน
ขณะที่งานในปี 2567 ที่ผ่านมา มียอดจองรถยนต์ 54,634 คัน
แม้ว่ายอดจองที่เกิดขึ้นจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นยอดขายจริงทั้งหมด เนื่องจากยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือ กาารอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อ แต่อย่างน้อยตัวเลขที่เกิดขึ้นก็เป็นการสะท้อนถึงความต้องการซื้อรถของผู้บริโภค
-
มั่นใจ ปี 69 ขยายตัว หวังรัฐบาลมีเสถียรภาพ
ส่วนมุมมองของผู้บริหารบริษัทรถยนต์ต่อตลาดรถยนต์ในปี 2569 ส่วนใหญ่เช่ื่อว่าจะไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าปัจจุบัน โดยมองว่าตลาดไม่ทรงตัวก็ขยายตัว แต่จะเติบโตไม่มากนัก จากปีนี้ที่คาดว่าจะทรงตัวเท่า ๆ กับปี 2567 ที่ทำได้ประมาณ 5.73 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประมาณ 6 แสนคัน
นายทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า คาดการณ์ตลาดรถยนต์รวมปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 595,000 คัน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นเป็นรถปิกอัพประมาณ 145,000 คัน และรถ พีพีวี 36,000 คัน
ส่วนแนวโน้มปี 2569 มองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในภาวะยากลำบากต่อไป และสำหรับอีซูซุดูจากเกษตรกรเป็นหลักซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของบริษัท ขณะนี้รายได้ไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาพืชผลไม่สูง และปริมาณผลผลิตยังมีน้อย
รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างนโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะขึ้นภาษีนำเข้า 19% ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตา ขณะเดียวกัน มาตรการการคัดกรองสินเชื่อของไฟแนนซ์ก็ยังคงเข้มงวดเช่นเดิม และยังไม่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้
ในด้านบวกมองว่ามาตรการ “Quick Big Win” ของรัฐบาล หากสามารถดำเนินการได้ตามที่ประกาศไว้จะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนปัจจัยทางการเมืองที่จะมีการยุบสภาและเลือกตั้งทั่วไป หวังว่าหลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น จะทำให้ประชาชนมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
ขณะที่โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ซื้อรถปิกอัพได้ง่ายขึ้น หรือ กระบะพี่ มีคลังค้ำ เป็นโครงการที่ดีมากในการช่วยลูกค้าแต่เท่าที่รู้มาพบว่าอาจมีปัญหาปลีกย่อยหลายอย่างเกิดขึ้น
ถ้าแก้ปัญหาเหล่านั้นได้จะเป็นโครงการที่ดีมาก รัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดหลายด้าน อยากให้ปรึกษาหารือและหาทางออกที่ดีร่วมกัน อีกทั้งอยากให้รัฐบาลพิจารณาเงื่อนไขเพื่อให้เข้าร่วมโครงการได้ง่ายขึ้น และขยายระยะเวลาโครงการนี้ออกไป
ปัจจัยบวกอีกสิ่งหนึ่งคือภาวะเศรษฐกิจโลกถ้าผ่อนคลายมากขึ้น จะทำให้ส่งสินค้าออกสินค้ามากขึ้น และราคาพืชผลการเกษตรดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินภาพรวมทั้งหมด มองว่าตลาดรถยนต์ปีหน้าจะเท่า ๆ กับ ปีนี้
-
โตโยต้า เชื่อปีหน้าตลาดโต หวังรัฐบาลใหม่หนุน
ด้านนายศุภกร กล่าวว่าตลาดรถยนต์ยังมีปัจจัยบวก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดรถยนต์ในช่วงปลายปีจากมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ที่ขยายการค้ำประกันสินเชื่อไปยังผู้ให้บริการสินเชื่อทีไ่ม่ใช่กลุ่มธนาคาร (Non-Bank) รวมทั้ง ลีสซิ่งของบริษัทรถยนต์ (Captive Finance) ช่วยให้กลุ่ม เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงบริการสินเชื่อได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ปี 2567 ที่ผ่านมา เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก เพราะเป็นภาวะยากลำบากเพิ่มขึ้นทุกเดือน ก่อนที่จะปิดตัวเลขที่ 5.73 แสนคัน ลดลง 26%
ขณะที่ปี 2568 ช่วงไตรมาสด 1-3 ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 4% และคาดว่าจะปิดตัวเลขปีนี้ที่ 6 แสนคัน
“ตลาดปีนี้ หากเทียบกับปี 2567 คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้”
ส่วนแนวโน้มปี 2569 โตโยต้า เชื่อมั่นว่า ภาพรวมตลาดจะดีกว่าปีนี้แน่นอน ส่วนหนึ่งมาจากตลาดรถปิกอัพที่เคยเป็นตลาดใหญ่ของไทย ก่อนที่จะหดตัวอย่างมากก่อนหน้านี้
แต่ล่าสุดปิกอัพมีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น รวมถึงโตโยต้าที่เปิดตัวรุ่นใหม่ “ไฮลักซ์ ทราโว่” ซึ่งจากการสำรวจผู้บริโภคพบว่ารอดูผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนั้นจึงมั่นใจะว่าผลักดันตลาดในภาพรวมได้
นอกจากนี้ยังคาดหวังจากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งที่จะช่วยสนับสนุนหลาย ๆ อุตสาหกรรม รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย
ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์สิ่งที่ต้องการจากรัฐบาลใหม่ 3 เรื่อง คือ
1. นโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ในทุกกลุ่ม
2. ปกป้องภาคการผลิตภายในประเทศ สนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน (Supply Chain) ให้แข็งแรง และเป็นธรรม
3. ปรับมาตรการรองรับ ส่งเสริมภาคการส่งออก
ทั้งนี้มองว่าหากอุตสารหกรรมยานยนต์ไทยเข้มแข็งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากมีผลประมาณ 10% ของ จีดีพี และสร้างแรงงานรวมกว่า 9 แสนคน







