“ไชนีส ซูเปอร์ลีก” กับมาตราการดูแลค่าใช้จ่าย

“ไชนีส ซูเปอร์ลีก” (CSL) ถูกจับตามองไปทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากลีกยุโรป เข้าสู่ช่วงเวลาปิดฤดูกาลลีกยุโรปหน้าร้อนอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นช่วงของการโยกย้ายผู้เล่น
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาซูเปอร์สตาร์ราคาแพงหรือแข้งดังที่หมดสัญญา ว่าจะมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงอย่างไร และวงการลูกหนังแดนมังกรก็ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ขึ้นชื่อลือชาสำหรับนักเตะที่ต้องการไปโกยรายได้ระดับอภิมหาศาล
แต่การแข่งขันปี 2017 ทาง CSL ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎโควต้าผู้เล่นต่างชาติ จากเดิมสามารถลงทะเบียนได้ 4 คนบวกกับนักเตะสัญชาติเอเชีย 1 คน และลงสนามได้ 3 คนบวกนักเตะสัญชาติเอเชีย 1 คน
เปลี่ยนเป็นลงทะเบียนได้ 4 คน สำหรับนักเตะต่างชาติไม่กำหนดว่าเป็นสัญชาติไหน และลงสนามได้เพียง 3 คนเท่านั้น อีกทั้งเพิ่มกฎที่ต้องมีผู้จีนอายุไม่เกิน 23 ปีอย่างน้อยสองคนในรายชื่อ 18 คนสำหรับการแข่งขันในแต่ละเกม
อีกทั้งในปี 2018 สมาคมฟุตบอลจีนยังเตรียมที่จะออกมาตรการทาง “ภาษี” ที่เคร่งครัดมากขึ้นสำหรับผู้เล่นต่างชาติด้วยกฎที่ว่านี้เองทำให้ทีมฟุตบอลเงินหนาใน CSL อาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการดึงตัวนักฟุตบอลต่างชาติมากยิ่งขึ้น
ความเสี่ยงภาวะฟองสบู่
ก่อนหน้านี้ที่นาย “สี จิ้นผิง” ประธานาธิปดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เคยประกาศนโยบายด้านกีฬาให้จีนกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจวงการลูกหนังโลก ให้ได้ภายในปี 2015
ทำให้ภาครัฐร่วมมือกับภาคเอกชน ระดมความคิดที่สำคัญคือ “ระดมกำลังเงิน” สร้างฟุตบอลจีนให้แข็งแกร่งผ่านโครงสร้างลีกภายในประเทศอย่าง CSL เป็นที่มาของนักเตะค่าตัวและค่าจ้างราคาแพง ไม่ว่าจะเป็น คาร์ลอส เตเวซ,ออสการ์ หรือ ฮัล์ค เป็นต้น
ล่าสุดจากข้อมูลในปี 2016 ที่รายงานโดยบลูมเบิร์ก บริษัทบริการด้านข้อมูลหลักทรัพย์ชื่อดังของโลก CSL กลายเป็นลีกที่มีการใช้จ่ายสูงเป็นอันดับ 5 ของโลกอยู่ที่ 451.3 ล้านดอลลาร์ ในปี 2016 มากขึ้นกว่าปี 2015 ถึง 168 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าลีกเอิง ของฝรั่งเศส และไล่จี้กัลโช เซเรีย อา ของอิตาลี ที่อันดับที่ 4 ที่ 508.5 ล้านดอลลาร์ และที่ 3 อย่างลา ลีกาของสเปน ที่ 508.8 ล้านดอลลาร์ มาติดๆ ส่วนที่หนึ่งและสองเป็นของพรีเมียร์ลีก จากอังกฤษ และบุนเดสลีกา ของเยอรมนี
หากบรรดาเจ้าสัวทุ่มทุนได้ไม่อั้นเช่นนี้ คาดว่าข้อมูลปี 2017 มีโอกาสที่จะแซงกัลโช เซเรีย อา และ ลา ลีกา จากนั้นอีก 3 ปีค่าใช้จ่ายคงจะเข้าสู่ระดับพันล้านดอลลาร์
ความกังวลเกิดขึ้นไปทั่วสำหรับผู้ที่มีส่วนพัฒนาวงการฟุตบอลจีนว่ามีความเสี่ยงจะเกิดฟองสบู่ เพราะ 80% จากข้อมูลค่าใช้จ่ายปี 2016 ที่ 451.3 ล้านดอลลาร์นั้นมาจากค่าตัวค่าจ้างของนักฟุตบอลและโค้ช ด้วยเหตุนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงจำเป็นต้องออกมาตราการควบคุมว่าด้วย “การใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุผล” ในวงการฟุตบอลครั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาฟุตบอลภายในประเทศอย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์
ออกมาตรการควบคุมดูแล
แนวทางของรัฐบาลจีนร่วมกับสมาคมฟุตบอลคือใช้มาตราการด้าน “ภาษี” เข้ามาดูแลและเข้มงวดมากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มีแนวทางออกมาชัดเจนในตอนนี้ แต่บรรดาสื่อกีฬาจีนคาดว่าจะออกมาในสองแนวทาง อย่างแรกคือเรื่องการเพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะนักฟุตบอลต่างชาติ จากกฎหมายภาษีเดิมของจีนหากมีค่าจ้างอยู่ที่ระดับหนึ่งแสนปอนด์ต่อสัปดาห์จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยูที่ 45%
แต่แนวทางนี้จะมีปัญหาคือจะส่งผลต่อโครงสร้างภาษีเงินได้ภายในประเทศ ซึ่งอาจต้องมีการแก้ไขบทเฉพาะกาลตามมา อีกทั้งหากมีการเลือกปฏิบัติเก็บภาษีเพิ่มเติมต่ออาชีพใดอาชีพหนึ่งเป็นพิเศษ ก็จะส่งผลต่อภาพลัษณ์ความเป็นธรรมของรัฐบาล ดังนั้นแนวทางนี้จึงค่อนข้างยากที่จะเกิดขึ้น
สำหรับอีกแนวทางคือ การเรียกเก็บภาษีกับสโมสรต้นสังกัดที่ทำการเซ็นสัญญาผู้เล่นต่างชาติราคาแพง ซึ่งกระแสข่าวล่าสุดคือการเรียกเก็บถึง 100% จากการซื้อขาย เท่ากับว่าสโมสรจีนต้องจ่ายค่าตัวในการดึงตัวผู้เล่นต่างชาติเพิ่มเป็นสองเท่านั่นเอง
ดยแนวทางนี้มีโอกาสที่เป็นไปได้ที่สุดที่จะเกิดขึ้น แต่จะเป็น 100% หรือไม่ยังคงต้องรอมติจากสมาคมฟุตบอลฯและทางการจีน เพราะยังมีเรื่องปลีกย่อยที่ต้องลงลายละเอียด โดยเฉพาะการเข้าไปจัดการการทำสัญญาเพื่อหลบเลียงภาษีที่กำลังเป็นประเด็นในวงการฟุตบอลจีนที่เรียกว่า “สัญญาหยินหยาง” โดยให้นักเตะเซ็นสัญญาสองฉบับ ฉบับแรกกับต้นสังกัด ส่วนอีกฉบับเซ็นกับบริษัททีเป็นเจ้าของสโมสร ซึงเรื่องดังกล่าวจีนกำลังทำงานร่วมกับฟีฟ่า เพื่อปิดข้อบกพร่องและเอาผิดกับสโมสรที่ทำสัญญาหยินหยางกับนักฟุตบอล
ส่วนในด้านอื่นๆที่กำลังจะเป็นแนวทางมาบังคับใช้ในอนาคตที่น่าสนใจก็คือกำหนดให้ทุกทีมแบ่งเงิน 15% ของงบลงทุนเป็นส่วนของการพัฒนาระบบเยาวชนของสโมสร เป็นแนวทางที่ช่วยสนับสนุนไปกับกฏผู้เล่น 23 ปีที่ บังคับใช้แล้วในปีนี้
วงการฟุตบอลทั่วโลกกำลังจับตาความเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลจีนภายใน 1-2 ปีข้างหน้า หลังจากทางการจีนมีท่าทีเข้ามาเข้มงวดกับการใช้จ่าย
แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าพลานุภาพทางการเงินของบรรดานายทุนจีนเอง ก็มีอำนาจไม่น้อยที่จะกำหนดทิศทางของวงการลูกหนังแดนมังกรหรือแม้กระทั่งทิศทางของประเทศเช่นกัน







