(สกู๊ป)โหมโรง"เรอัล มาดริด-ยูเวนตุส"เดิมพันบัลลังก์เจ้ายุโรป

(สกู๊ป)โหมโรง"เรอัล มาดริด-ยูเวนตุส"เดิมพันบัลลังก์เจ้ายุโรป

อีกไม่นานก็จะได้ทราบกันแล้วว่าทีมใดจะสามารถครองบัลลังก์เจ้ายุโรปในปีนี้ระหว่าง ยูเวนตุส หรือ เรอัล มาดริด โดยการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ณ สนามมิลเลนเนียม สเตเดียม

     นอกจากเป็นการรีแมตช์คู่ชิงเมื่อปี 1998 แล้ว เกมนี้ยังเป็นการทะลุเข้าถึงรอบชิง 3 จาก 4 ฤดูกาลหลังสุดของทีมจากสเปน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามีโอกาสที่ “ราชันชุดขาว” จะคว้าแชมป์สมัยที่ 12 และสร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ 2 สมัยติดต่อกัน

      อย่างไรก็ตาม ยูเวนตุส ที่กวาดทั้งสคูเดตโต และ โคปปา อิตาเลีย คงไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน เนื่องจากกำลังอยู่บนเส้นทางลุ้นทริปเปิลแชมป์ แถมสถิติในถ้วยใบนี้ก็ถือว่าดีทีเดียว ซึ่งก่อนลงสนามเกมนัดชิงเจ้ายุโรปครั้งที่ 63 นี้ จึงจะขอพาไปเช็คความพร้อมของทั้งสองทีมที่ถูกยกให้เป็นการโคจรมาเจอกันของทีมที่มีเกมรุกและเกมรับดีที่สุดในถ้วยใบนี้กันอีกครั้ง

รีแมตช์นัดชิง 1998
      นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ทั้งสองทีมต้องมาดวลกันในรอบชิงชนะเลิศ การพบกันในนัดชิงครั้งแรกต้องย้อนไปในฤดูกาล 1997-98 โดยในวันนั้นเป็นทางฝั่งของทีมจากเมืองหลวงของสเปนที่เอาชนะไปได้แบบหวุดหวิด 1-0 โดยได้ประตูชัยจาก เปแดร็ก มิยาโตวิช ดาวยิงเซอร์เบียที่ซัดประตูโทนในนาทีที่ 66 ส่งเรอัล มาดริด เป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 8 ได้สำเร็จในปีนั้น
       ทั้งสองทีมเคยพบกันในรายการนี้มาแล้วทั้งหมด 18 ครั้ง (นับตั้งแต่ยูโรเปียน คัพ) โดยเรอัล มาดริดเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 8 ครั้ง ยูเวนตุสชนะ 8 ครั้ง และเสมอกันไป 2 ครั้ง และยังเป็นสองทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงของรายการนี้ได้มากที่สุดอีกด้วย(ยูเวนตุส 8 ครั้ง, มาดริด 14 ครั้ง)

การเจอกันของ 2 แชมป์ลีก
       เป็นฤดูกาลแรกแบบเต็มตัวของ ซีเนดีน ซีดาน ในฐานะนายใหญ่“ราชันชุดขาว” ซึ่งต้องยอมรับว่าทำได้ดีทีเดียว เมื่อเดินหน้าทำลายสถิติต่างๆเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นการเก็บชัยชนะติดต่อกันนานสุดในลา ลีกา 16 นัด, ไร้พ่ายติดต่อกันในลีกนานสุด 40 นัด, ยิงในลีกติดต่อกันนานสุด 50 นัด กระทั่งพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011-12 
        ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก พวกเขาเป็นทีมที่ยิงไปถึง 32 ประตู จนฝ่าด่านทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศ แถม คริสเตียโน โรนัลโด ดาวยิงโปรตุกีส ยังทำไปแล้ว 103 ประตูในรายการนี้ โดย 4 นัดหลังสุดยิงไป 8 ลูก ขณะที่ตัวเลขยามเผชิญหน้ากับทีม“ม้าลาย” โรนัลโด เจาะตาข่ายทีมจากอิตาลีไปได้ถึง 5 ประตู จาก 4 นัดที่พบกัน 
       ฝั่ง ยูเวนตุส ของมัสซิมิเลียโน อัลเลกรี ถือว่ามีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน เมื่อพาทีมสอยแชมป์กัลโช เซเรีย อา สมัยที่ 33 แถมยังเป็นการครองแชมป์ลีก 6 ปีติดต่อกันของทีมม้าลายและเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีก 27 ลูก พ่วงด้วยแชมป์โคปปา อิตาเลีย พร้อมกับทำให้กำลังอยู่บนเส้นทางสร้างประวัติศาสตร์ลุ้นทริปเปิลแชมป์ ณ ชั่วโมงนี้
        นอกจากนี้ลูกทีมของ อัลเลกรี ยังมีสถิติที่ยอดเยี่ยมในเวทียูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ปีนี้ ตลอด 12 แมตช์ พวกเขาเสียไปเพียงแค่ 3 ประตู และเป็นการเก็บคลีนชีตถึง 9 นัด อีกทั้งไม่เคยเสียท่าให้คู่แข่งเจาะตาข่ายได้เกินนัดละ 1 ประตู โดยตั้งแต่รอบน็อคเอาท์พวกเขาเสียไปแค่ลูกเดียวเท่านั้น

ความพร้อมล่าสุด
        ประเด็นสำคัญก่อนเกมนี้ฝั่ง“ราชันชุดขาว”ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใครลงเล่นเป็น 11 ตัวจริง ระหว่าง แกเรธ เบล หรือ อิสโก โดยก่อนหน้านี้ปีกทีมชาติเวลส์ต้องร้างสนามไปนานกว่า 6 สัปดาห์ จากอาการบาดเจ็บที่น่อง ทำให้ อิสโก ซึ่งได้รับโอกาสลงเล่นแทนและสามารถตอบแทนความไว้วางใจได้ทันที เมื่อได้ลงสนาม 689 นาที ทำไป 6 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ 
        แม้นาทีนี้ เบล จะกลับมาลงซ้อมได้ตามปกติ แต่จากการเล่นที่เข้าขารู้ใจกับเพื่อนร่วมทีมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้โอกาสลงเป็นตัวจริงดูเหมือนจะเทไปฝั่งมิดฟิลด์กระทิงดุมากกว่ากับการเล่นร่วมกับ คาริม เบนเซมา และ โรนัลโด ในแนวรุก
        ฝั่ง ยูเวนตุส สภาพทีมนั้นสมบูรณ์ทีเดียวเมื่อไม่มีปัญหาผู้เล่นเจ็บหรือติดโทษแบน ทำให้เกมนี้ อัลเลกรี พร้อมจัดชุดที่ดีที่สุดลงสนม นำโดย จานลุยจิ บุฟฟอน ผู้รักษาประตู สามประสานแนวรับประกอบด้วย จอร์โจ คิเอลลินี, อันเดรีย บาซาญี และ เลโอนาร์โอ โบนุชชี ขณะที่แนวรุกฝากความหวังไว้กับ เปาโล ดิบาลา, มาริโอ มานด์ซูคิช และ กอนซาโล อิกวาอิน 
        ความน่าสนใจของเกมนี้คือการเจอกันของทีมที่มีเกมรุกและเกมรับดีที่สุด โดย เรอัล มาดริด มีค่าเฉลี่ยยิงประตูในรายการนี้นัดละ 2.5 ประตู ส่วน ยูเวนตุส มีค่าเฉลี่ยเสียประตูนัดละ 0.25 ประตู ทำให้ต้องมาดูกันว่าเมื่อลงสนามไปแล้วทีมที่มีแนวรุกอันตรายที่สุดหรือเกมรับเหนียวแน่นที่สุด ทีมใดจะเป็นฝ่ายประสบความสำเร็จในบั้นปลาย

แชมป์ที่รอคอยของบุฟฟอน
       สถิติเวลาทีม“ม้าลาย”มี บุฟฟอน ลงเฝ้าเสา 42 แมตช์ เสียไปเพียง 28 ประตู ในซีซั่นนี้ โดยผู้รักษาประตู วัย 39 ปี ผ่านความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ใหญ่มาครบถ้วนทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ แชมป์กัลโช เซเรีย อา, โคปปา อิตาเลีย, ยูฟ่า คัพ และ แชมป์ฟุตบอลโลก 2006 แต่กลับเหลือความสำเร็จเพียงอย่างเดียวที่ยังไม่เคยไปถึงตำแหน่งแชมป์ ก็คือ ถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่เจ้าตัวเคยเข้าชิงรายการนี้ 2 ครั้ง (ฤดูกาล 2002–03 กับ 2014–15) แต่สุดท้ายก็เข้าป้ายเพียงรองแชมป์ทั้งสองหน และกับการผ่านเข้าชิงชนะเลิศหนที่สามประกอบกับอายุที่อยู่ในช่วงปลายอาชีพ นี่จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของ บุฟฟอน ที่จะจารึกชื่อของตัวเองในฐานะแชมป์รายการนี้

อาถรรพ์ป้องกันแชมป์
       มีเพียง 4 ทีมที่สามารถเข้าใกล้การป้องกันแชมป์ถ้วยใบโตนี้ แต่ก็ไม่มีทีมใดไปถึงฝั่งฝัน โดยฤดูกาล 1993-94 เอซี มิลาน คว้าแชมป์ด้วยการถล่ม บาร์เซโลนา 4-0 ก่อนที่ในปีถัดมาพวกเขาได้เข้าชิงอีกครั้ง แต่ก็ต้องแพ้ให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 0-1
        ปีต่อมาฤดูกาล 1995-96 ยูเวนตุส เอาชนะจุดโทษแชมป์เก่า อาแจ็กซ์ พร้อมกับได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ ไปครอง แต่ 12 เดือนต่อมาพวกเขาก็ต้องมาเสียแชมป์จากการแพ้ 1-3 ให้กับดอร์ทมุนด์
        ขณะที่ครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นการโคจรมาเจอกันในรอบชิงของ 2 ทีมจากเกาะอังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์ด้วยการชนะจุดโทษ เชลซี แต่ในปีถัดมาพวกเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับ บาร์เซโลนา ในปี 2009 ซึ่งมาถึงตรงนี้ก็ต้องมาลุ้นกันว่าอาถรรพ์ดังกล่าวจะโดนลบล้างในค่ำคืนนี้หรือยืดสถิติเพิ่มออกไป
         จากนี้ต้องมาลุ้นกันว่า เรอัล มาดริด จะสามารถล้างอาถรรพ์ที่ไม่เคยมีทีมใดป้องกันแชมป์รายการนี้ลงได้สำเร็จพร้อมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดับเบิลแชมป์ หรือจะลงเอยด้วยการสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเปิลแชมป์ครั้งแรกของยูเวนตุส ซึ่งสุดท้ายบทสรุปจะตัดสินกันที่สนามมิลเลนเนียม สเตเดียม กรุงคาร์ดิฟฟ์ ในค่ำคืนนี้ เวลา 01.45 น.