'ไรอัน' ว่าที่ตำนานควอเตอร์แบ็กคนใหม่

'ไรอัน' ว่าที่ตำนานควอเตอร์แบ็กคนใหม่

ทราบผลกันแล้วสำหรับศึกชิงแชมป์แห่งปี ของวงการอเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล หรือ “ซูเปอร์โบว์ล” ครั้งที่ 51

 ซึ่งแม้ แอตแลนตา ฟอลคอนส์ ที่นำทัพโดย “แมตต์ ไรอัน” ควอเตอร์แบ็กตัวเก่ง จะพาทีมพลิกพ่าย นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ของ “ทอม เบรดี” ชวดแชมป์สมัยแรกไปอย่างน่าผิดหวัง

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายต่างคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ "ไรอัน” ในวัย 31 ปี อาจจะขยับขึ้นมาเป็นสุดยอดควอเตอร์แบ็กแห่งยุค คนต่อไปของศึกเอ็นเอฟแอล ต่อจาก “เบรดี” ที่ใกล้ปลดเกษียณตัวเองเนื่องจากมีอายุถึง 39 ปีแล้ว

เส้นทางเอ็นเอฟแอล

“แมตต์ ไรอัน” เกิดวันที่ 17 พ.ค. 1985 เป็นบุตรคนที่ 3 ของ ไมเคิล และ เบอร์นิซ ไรอัน รับบทควอเตอร์แบ็กให้ทีม บอสตัน คอลเลจ ตามรอย จอห์น เลาจ์เฮอรี ญาติฝ่ายบิดา ที่เคยลงเล่นระดับมหาวิทยาลัย ปี 1979-1982 ได้รับการขนานนามว่า “แม็ตตีไอซ์” จากบุคลิกที่เป็นคนใจเย็นแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน

ไรอัน เล่นได้อย่างโดดเด่นกับมหาวิทยาลัยในรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของเพเทรียตส์ ทว่ากลับไม่ได้รับการเหลียวแลจาก “บิล เบลิชิค” เฮดโค้ช ระหว่างการดราฟต์ปี 2008 เนื่องจากมี เบรดี ที่กำลังอยู่ในฟอร์มยอดเยี่ยมครองตำแหน่งนั้นอยู่ ก่อนที่สุดท้ายฟอลคอนส์จะใช้สิทธิ์ดราฟต์รองจาก ไมอามี ดอลฟินส์ และ เซนต์ หลุยส์ แรมส์ ดึงตัวมาร่วมทัพในที่สุด

เพียงปีแรกที่ย้ายมาร่วมทัพ ควอเตอร์แบ็กสูง 193 เซนติเมตร กลายเป็นรุกกีคนที่สองในประวัติศาสตร์ของทีมที่สามารถยึดตัวจริงตั้งแต่เปิดซีซัน 2008 ต่อจาก ไมเคิล วิค จอมทัพจากรัฐเวอร์จิเนีย เคยทำได้เมื่อปี 2001 ด้วยการทำผลงาน ขว้างระยะ 3,440 หลา 17 ทัชดาวน์ เสีย 11 อินเตอร์เซ็ปต์ พาทีมเข้าเพลย์ออฟหนแรกของอาชีพก่อนจะไปแพ้แก่ อริโซนา คาร์ดินัลส์ ที่มี เคิร์ต วอร์เนอร์ จอมทัพที่อาวุโสกว่าถึง 15 ปี ด้วยสกอร์ 24-30

จากนั้น 8 ปีต่อมาในฤดูกาล 2016 ขุนพลจากรัฐเพนซิลวาเนีย ได้พาฟอลคอนส์ กุมสถิติ ชนะ 11 แพ้ 5 คว้าแชมป์กลุ่มได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ก่อนคว้าแชมป์สายเอ็นเอฟซี ด้วยการถล่ม กรีนเบย์ แพคเกอร์ส 44-21 พร้อมกลายเป็นผู้เล่นคนแรกของทีมที่ครองเกียรติยศสูงสุด “ผู้เล่นทรงคุณค่า หรือ เอ็มวีพี” ในฤดูกาลปกติ รวมถึงเป็นคนแรกของศึกคนชนคน ที่ขว้างทัชดาวน์ให้เพื่อนร่วมทีมแบบไม่ซ้ำหน้า 13 คน ตลอด 16 เกม

ชิงแชมป์ประวัติศาสตร์

ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระหว่าง 2 ทีม ที่มีคนทั่วทั้งโลกจับตาดูมากที่สุด รวมถึงเป็นการประชันกันระหว่าง 2 สุดยอดควอเตอร์แบ็กแห่งยุค ในควอเตอร์ที่สอง ไรอัน จอมทัพทีมเหยี่ยวดำที่เข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่สองต่อจากปี 1998 ขว้างบอลให้ เดวอนตา ฟรีแมน กับ ออสติน ฮูเปอร์ ทำทัชดาวน์คนละครั้งพาทีมขึ้นนำ 21-3 จากนั้นจบควอเตอร์ที่สามด้วยการทำเพิ่มอีกหนึ่งทัชดาวน์นำห่าง 28-9

ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเมื่อนักรบกู้ชาติ ที่นำมาโดยควอเตอร์แบ็กจอมเก๋าอย่าง เบรดี พลิกสถานการณ์ทำ 25 แต้มภายใน 13 นาที ด้วยการขว้างสองทัชดาวน์ให้กับ แดนนี อเมโดลา กับ เจมส์ ไวท์ ร่วมกับจังหวะสำคัญท้ายเกมที่ขว้างให้ แดนนี อเมนโดลา ทำสองแต้มพิเศษ ตีเสมอ 28-28 ส่งผลให้ต้องต่อเวลาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ศึกซูเปอร์โบว์ล ก่อนที่สุดท้าย จอมทัพของเพเทรียตส์ จะขว้างให้ ไวท์ ทำทัชดาวน์ที่สองของตัวเอง กลับมาเอาชนะ 34-28 คว้าแชมป์ซูเปอร์โบว์ล เป็นสมัยที่ 5

แม้เกมดังกล่าว เบรดี จะคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า หรือเอ็มวีพี แต่ทว่ารุ่นน้องอย่าง ไรอัน นั้นก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กันด้วยการ ขว้างบอลเข้าเป้า 17 จาก 23 ครั้ง ระยะ 284 หลา 2 ทัชดาวน์ และมีภาษีดีกว่าจอมทัพนักรบกู้ชาติ ด้วยการไม่เสียอินเตอร์เซ็ปต์แม้แต่ครั้งเดียว

สู่ว่าที่ยอดควอเตอร์แบ็ก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ ไรอัน จะถูกยกให้เป็นว่าที่สุดยอดควอเตอร์แบ็กแห่งยุคคนต่อไป ด้วยผลงานไม่เคยพลาดการลงสนามแม้แต่เกมเดียว ตลอดการย้ายมาร่วมทัพฟอลคอนส์ ตั้งแต่ปี 2008

รวมถึงขว้างบอลเกิน 4,000 หลา 6 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยปีล่าสุดถือว่ามีผลงานโดดเด่น ทำสถิติในฤดูกาลปกติด้วยการขว้างเข้าเป้าสูงสุดคิดเป็น 69.9 เปอร์เซนต์ ทำระยะ 4,944 หลา เฉลี่ย 9.3 หลาต่อการขว้างหนึ่งครั้ง บวกกับ 38 ทัชดาวน์ เสียเพียง 7 อินเตอร์เซ็ปต์เท่านั้น ส่วนในรอบเพลย์ออฟ ทำไประยะ 730 หลา 7 ทัชดาวน์ ไม่เสียอินเตอร์เซ็ปต์ ซึ่งนับเป็นสถิติที่ดีสุดตลอดการเล่นอเมริกันฟุตบอลอาชีพของเจ้าตัว

ทั้งนี้หากนำมาเปรียบเทียบกับ เบรดี เมื่อครั้งยังอายุ 31 ปี ต้องย้อนไปฤดูกาล 2009 เวลานั้นจอมทัพเพเทรียตส์ ทำสถิติขว้างฤดูกาลปกติ 4,398 หลา ทำ 28 ทัชดาวน์ เสียไปถึง 13 อินเตอร์เซ็ปต์ นำทีมถึงแค่รอบเพลย์ออฟ ก่อนแพ้ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ 14-33 ซึ่ง ไรอัน ดูมีสถิติส่วนตัวที่ดีกว่า เพียงแต่ ณ เวลานั้นจอมทัพเพเทรียตส์ คว้าแชมป์ซูเปอร์โบว์ลที่ ไรอัน ยังไม่เคยได้ มานอนกอดแล้วถึง 3 สมัยด้วยกัน ในปี 2001, 2003 และ 2004

ปัจจุบันแม้ เบรดี จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นนัมเบอร์วันของเอ็นเอฟเเอล เปรียบดั่งยอดเขาสูงจนไม่มีใครสามารถเทียบชั้นได้ แต่ในอนาคตหากจอมทัพเพเทรียตส์ได้อำลาสังเวียนไปแล้ว ชื่อของ “ไรอัน” ที่มีโอกาสได้สั่งสมประสบการณ์มากกว่านี้ อาจผงาดขึ้นมาเป็นยอดเขาลูกต่อไปก็เป็นได้