The Inside Line : ทำไมจักรยานราคาแพงจัง?

The Inside Line : ทำไมจักรยานราคาแพงจัง?

หลายคนมักถามว่า ทำไมจักรยานถึงมีราคาแพง?

จักรยานเสือหมอบที่คนไทยชื่นชอบ และเป็นเซ็กเมนท์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา มีราคาเริ่มต้นที่ตั้งแต่หมื่นกว่าบาท ไปจนถึงล้านกว่าบาท

ผลสำรวจจากกลุ่มนักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ในเดือนส.ค. พบว่ามูลค่าจักรยานเสือหมอบ เฉลี่ยตกอยู่ที่ราวๆ หนึ่งแสนบาทต่อคัน!  เป็นการสำรวจจากกลุ่มนักปั่นร่วมหกร้อยคนในกรุงเทพและปริมณฑล ที่ไปใช้บริการเส้นทางปั่น Skylane บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ

ผลสำรวจนี้อาจไม่ได้สะท้อนถึงตัวแทนคนใช้จักรยานเสือหมอบทั้งหมด แต่ก็แสดงให้เห็นว่าในหัวเมืองใหญ่ หลายๆท่านพร้อมจะจ่ายเม็ดเงินหกหลักเพื่องานอดิเรกนี้ จักรยานไฮเอนด์บางคันราคาแตะสามถึงสี่แสนบาทได้เลยทีเดียวครับ

หลายคนคงอยากรู้ว่าทำไมจักรยานถึงมีราคาแพง ทั้งที่ดูแล้วองค์ประกอบก็ไม่มีอะไรมาก ไม่มีเครื่องยนต์ น้ำหนักก็เบา วัสดุก็น้อย แต่เชื่อไหมครับ เทคโนโลยีที่ใช้ในจักรยานนั้น ล้ำยุคไม่แพ้รถสูตรหนึ่งเลย เฟรมจักรยานไฮเอนด์สมัยนี้ทำมาจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ทำให้มีน้ำหนักเบา ตอบสนองการบังคับและการออกแรงของนักปั่นได้ดี เกรดคาร์บอนที่ใช้นั้นเทียบเท่ากับที่ใช้ผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมและเครื่องบินรบ!

โดยปกติ เสือหมอบรุ่นที่ขายดีที่สุด จะเป็นรุ่นเริ่มต้นถึงกลางๆ ตั้งแต่ราคาราว 20,000–45,000 บาท บริษัท Giant ผู้ผลิตจักรยานรายใหญ่จากไต้หวัน กล่าวว่าอัตราส่วนยอดขายของจักรยานเกรดราคากลาง กับรุ่นท็อปอยู่ที่ 40:1 แต่ถึงจะขายได้ไม่ดี ไม่ได้แปลว่าขายไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับสินค้าไฮเอนด์อย่างกระเป๋าหนังสัญชาติยุโรป ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราเห็นจักรยานคันละหลายแสนวิ่งตามเส้นทางนักปั่นจนชินตา

ในมิติทางสังคม จักรยานไฮเอนด์ก็เปรียบเสมือนวัตถุที่ใช้ยกระดับฐานะเจ้าของ ยิ่งสังคมจักรยานเติบโต นักปั่นย่อมอยากจะเด่นและต่างกับคนอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการเลือกใช้อะไหล่และเฟรมไฮเอนด์ หรือใช้แบรนด์บูทีคชื่อดังที่หาซื้อได้ยาก บ้างอาจจะซื้อเพราะต้องการประสิทธิภาพระดับโลกเทียบเท่านักปั่นอาชีพ แต่เหตุผลหลักๆ ก็มักจะมาจากภาพลักษณ์ก่อนเสมอ  

เพราะพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพกันจริงๆ เมื่อราคาก้าวเกินจุดหนึ่ง ประสิทธิภาพที่ได้ก็จะค่อยๆแปรผกผันกับราคาตามกฎว่าด้วยการลดน้อยถอยลง (Law of diminishing return) ถึงกระนั้นตลาดก็ยังมีที่ว่างเสมอสำหรับจักรยานราคาเรือนแสน หลายบริษัทผลิตจักรยานไฮเอนด์มูลค่าเกินครึ่งล้านบาทไม่ทันความต้องการของตลาด จนมียอดจองข้ามปีเลยทีเดียว

การออกแบบเฟรมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนจะต้องคำนึงถึงเรื่องอากาศพลศาสตร์ สรีระนักปั่น ความทนทานและน้ำหนัก ทั้งหมดต้องรวมกันเป็นแพคเกจที่พอเหมาะพอดี ทั้งเรื่องต้นทุนและความสามารถในการผลิต ยิ่งมีคู่แข่งที่พร้อมลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไปให้ไกลเท่าไร ก็ยิ่งต้องพยายามทำให้เหนือกว่า ไม่ต่างอะไรกับสงครามสมาร์ทโฟนที่ออกรุ่นล่าสุดมาเกทับกันทุกฤดูร้อน ค่าใช้จ่ายในการผลิตจักรยานประสิทธิภาพสูงจึงเพิ่มขึ้นทุกปีและยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

จักรยานไฮเอนด์จึงถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่แต่ละบริษัทต้องเร่งพัฒนาออกมามัดใจลูกค้า ยิ่งออกรุ่นใหม่ช้า ผู้บริโภคก็พร้อมจะ “ย้ายค่าย” แบรนด์อิตาเลียนเก่าแก่อย่าง Colnago และ Campagnolo เสียฐานลูกค้าให้แบรนด์อเมริกันหัวก้าวหน้าอย่าง Specialized และ SRAM ไปเยอะมากด้วยความไม่พร้อมลงทุนพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ ยึดติดกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงจากอดีต

แต่ก็เพราะการทุ่มเงินวิจัยจากบริษัทเหล่านี้ ทำให้เทคโนโลยีล่าสุดบนจักรยานไฮเอนด์ตกทอดมาสู่รุ่นประหยัดในปีถัดๆ ไป จักรยานราคาสามหมื่นบาทวันนี้ ดีกว่าจักรยานคันละสองแสนเมื่อสิบปีก่อนเกือบทุกด้าน เทคโนโลยีจากการวิจัยระบบเกียร์ไฟฟ้าชุดละเรือนแสน ก็ตกทอดมาสู่เกียร์จักรกล จนประสิทธิภาพการใช้งานแทบไม่ต่างกัน แต่ราคาถูกกว่ากันเกินครึ่ง

ถึงเราจะไม่สามารถซื้อจักรยานที่ดีที่สุดและแพงที่สุดได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในระยะยาว มันทำให้อุตสาหกรรมโตไปข้างหน้า เทคโนโลยีแอโรไดนามิกล่าสุดในวันนี้ จะเป็นมาตรฐานในอีกไม่กี่ปีในราคาที่ทุกคนจ่ายได้ แต่วางใจได้เลยครับ ไม่ว่าจักรยานสุดรักของคุณจะราคาเท่าไร ปีถัดไปย่อมมีสินค้าใหม่ที่ดีกว่ารออยู่เสมอ