ศาลอาญาสั่งจำคุก'วรวีร์' ฐานปลอมแปลงเอกสาร แต่รอลงอาญา

ศาลอาญาฯ พิพากษา “บังยี” นายวรวีร์ มะกูดี และ นายองอาจ ก่อสินค้า “แพ้คดี” ข้อหาปลอมแปลงเอกสาร
ข้อบังคับลักษณะการปกครองสมาคมฟุตบอลฯ เมื่อปี 2556 ให้จำคุก 2 ปี ปรับ 6,000 บาท แต่ทั้งคู่ไม่เคยต้องโทษ ลดโทษ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 4,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา ด้าน “บังยี” พร้อมสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เตรียมยื่นอุทธรณ์ตามสิทธิ์
ความคืบหน้ากรณีที่ “เสี่ยหม่อง” นายณฐภณ ปัญญาคณานุกูล ประธานสโมสรพัทยา เอฟซี เป็นตัวแทนสโมสรสมาชิกของสมาคมฟุตบอลฯ ยื่นฟ้อง นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นจำเลยที่ 1 และ นายองอาจ ก่อสินค้า สมัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในข้อหาปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม ข้อบังคับลักษณะการปกครองสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และนำไปจดกับนายทะเบียนกรมการปกครอง ตั้งแต่ปี 2556 โดยข้อความที่ นายวรวีร์ มีปรับแก้ไปจากเดิมในข้อบังคับสมาคมฟุตบอลฯ ฉบับปี 2556 อยู่ที่ข้อ 24 เกี่ยวกับจำนวนองค์ประชุมในที่ประชุมใหญ่ ที่เดิมระบุไว้ว่าไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบุตัวเลข ก่อนที่จะปรับแก้เพิ่มเป็น 50 คน และข้อที่ 78 เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของคำว่า “สมาชิก” ที่หายไป เหลือเพียงคำว่า “สมาคม” ที่เป็นเจ้าของสิทธิทั้งหมดเกี่ยวกับลิขสิทธิในการจัดการแข่งขัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้อ่านคำพิพากษา และตัดสินให้ สโมสรพัทยา เอฟซี เป็นฝ่ายชนะคดี โดยลงโทษ นายวรวีร์ มะกูดี และ นายองอาจ ก่อสินค้า มีความผิดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 6,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยทำความผิดมาก่อน ศาล ลดโทษ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน พร้อมปรับเงิน 6,000 บาท เหลือ 4,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา
ภายหลังจากชนะคดี “เสี่ยหม่อง” กล่าวว่าวันนี้ศาลท่านอ่านคำพิพากษาให้ตนเองเป็นฝ่ายชนะคดีที่ถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ บอกเลยว่าปลื้มใจมากๆ เพราะตนและเพื่อนสโมสรสมาชิกบางส่วน ได้ร่วมต่อสู้กันมาหลายปี เพื่อต้องการความถูกต้องและเพื่อให้วงการฟุตบอลมีความยุติธรรม และโปร่งใส รวมไปถึงการเลือกตั้งต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
“ผมต่อสู้มาพร้อมด้วยสมาชิก ซึ่งเป็นการใช้สิทธิ์อันชอบธรรม ซึ่งวันนี้ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงส่ง เพราะผมฟ้องนายกสมาคมฟุตบอล มาหลายคดี ทั้งศาลอาญา, ศาลแพ่ง และศาลปกครอง ยอมรับหวั่นใจเหมือนกัน หากคดีนี้เราเป็นฝ่ายแพ้ จะทำให้ผมและเพื่อสมาชิกบางส่วน ถูกสังคมมองว่าเป็นคนไม่ดี ขี้แพ้ชวนตี แต่เมื่อผลการตัดสินออกเช่นนี้แล้ว ก็ต้องรอดูว่าการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอล จะดำเนินการอย่างไรต่อไป”
ด้าน นายวรวีร์ กล่าวว่าตนเคารพคำสั่งศาลแต่จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ ซึ่งเจตนาที่ตนดำเนินการไปเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ ทำไปตามหน้าที่ ตนเองไม่ได้ทำส่วนตัวแต่ทำไปตามหน้าที่ มีมติที่ประชุมอย่างไรก็ดำเนินการไปตามนั้น
ขณะที่ นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ที่ปรึกษาฝ่ายกฏหมายของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย กล่าวว่าโดยหลักกฏหมายบอกว่าตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด นายกวรวีร์ และ ดร.องอาจ ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ซึ่งต่อจากนี้จะเอาระเบียบข้อบังคับที่มีการปรับแก้ไข ตามคำแนะนำของการกีฬาแห่งประเทศไทยและกรมการปกครอง ไปยื่นต่อศาลอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน
“การตกเป็นจำเลยในคดีนี้หรือคำพิพากษาในศาลชั้นต้นทั้งสองท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ยังไม่ถูกกำกับดูแล สามารถจะทำธุรกรรม สามารถจะลงรับสมัครรับเลือกตั้ง สามารถจะทำอะไรก็ได้ ถ้าศาลฎีกายังไม่บอกว่ากระทำความผิด ทุกคนในประเทศนี้ยังบริสุทธิ์อยู่"







