รวบหนุ่มขายกาแฟโบราณ ข่มขืนสาวโรงงาน

ตร.รวบหนุ่มขายกาแฟโบราณวัย 22 ปี ก่อเหตุข่มขืนสาวโรงงาน ก่อนใช้เถาวัลย์รัดคอเพื่ออำพรางคดี อ้างเมาสุรา
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบก.น.3 พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ก้องชาติ เลี้ยงสมทรัพย์ ผกก.สน.ฉลองกรุง เจ้าหน้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ฉลองกรุง และเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมนายสาธิตหรืออาร์ม จันทร์ทอน อายุ 22 ปี อาชีพขายกาแฟโบราณ อยู่บ้านเลขที่ 9 หมู่ 17 ต.ลาดแค อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกีย รุ่น อาช่า สีดำ จำนวน 1 เครื่อง โดยสามารถจับกุมได้ที่ซอยฉลองกรุง 53 (ซอยวัดทิพพาวาส)
พ.ต.อ.ก้องชาติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบศพนางสำรวย อ่อนน้อม อายุ 48 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง เสียชีวิตบริเวณเชิงสะพานข้ามคลองลำปลาทิว ซอยฉลองกรุง 54 แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กทม. ในสภาพถูกข่มขืนและถูกรัดคอด้วยเถาวัลย์ หลังจากกลับมาจาก จ.สระบุรี และหายตัวไปเมื่อวันที่ 18 เม.ย.58 หลังรับแจ้งฝ่ายสืบสวนได้ทำการสืบสวนติดตามจนทราบเบาะแสคนร้าย ว่าคนร้ายที่น่าจะลงมือก่อเหตุ น่าจะเป็นนายสาธิต หรืออาร์ม จันทร์ทอน ต่อมาได้ประชุมวางแผนก่อนเดินทางไปตรวจสอบบริเวณลานดินข้างร้านอาหารลาบยโส ภายในซอยฉลองกรุง 53 พบนายสาธิตท่าทางมีพิรุธอยู่ข้างร้านอาหารดังกล่าว ซึ่งเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิ่งหลบหนีไปหน้าห้องพักหลังร้านลาบยโส เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิ่งไล่ตามก่อนควบคุมตัวได้ในที่สุด และได้ทำการตรวจค้นตัวนายสาธิตพบร่องรอยบาดแผลคล้ายถูกเล็บมือข่วนตามบริเวณลำคอ ใบหน้าและแขน และพบโทรศัพท์มือถือที่หายไปของนางสำรวย ที่ลูกสาวนางสำรวยระบุว่า ด้านหลังโทรศัพท์มีรอยขูด และยืนยันว่าเป็นของแม่ที่หายไป เจ้าหน้าที่จึงทำการควบคุมตัวมาสอบสวนต่อที่ สน.ฉลองกรุง
พ.ต.อ.ก้องชาติ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนนายสาธิตให้การรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุ(18 เม.ย.) เวลาประมาณ 21.00 น. นายสาธิตและนางสำรวยได้เดินเข้ามาที่ปากซอย 54 ซอยลึกประมาณ 300 เมตร โดยนายสาธิตเดินนำหน้า ผู้ตายเดินตามเข้ามา เมื่อมาถึงจุดเชิงสะพานผู้ต้องหาได้หยุดเดินและเข้ามาล็อคคอนางสำรวย และผลักลงข้างทาง ก่อนต่อยท้อง บีบคอ และใช้ไม้ตีศีรษะ ทำให้นางสำรวยหมดสติ ก่อนจะลากนางสำรวยมาข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นได้ลากนางสำรวยที่หมดสติไปเป็นระยะทางประมาณ 10 เมตร เพื่อทำการฆ่าอำพรางคดี โดยใช้เถาวัลย์มัดคอจนเสียชีวิต จากนั้นได้นำหญ้าแห้งที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุปกคลุมศพไว้เพื่อปิดบังซ่อนเร้น และได้รื้อค้นเอาเงินจำนวน 230 บาทและโทรศัพท์ 1 เครื่อง ก่อนหลบหนีไป
ด้านนายสาธิต ให้การรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุตนเมาสุรา จนทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ และลงมือข่มขืนผู้ตายก่อนที่จะใช้เถาวัลย์มัดคอผู้ตายเพื่ออำพรางคดี ทั้งนี้ตนอยากจะขอโทษญาติของผู้ตายกับสิ่งที่กระทำลงไปด้วย ทั้งนี้จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม นายสาธิตเคยต้องโทษในคดีเสพยาเสพติด พื้นที่ สภ.เมืองชลบรี เมื่อปี 2553 ขณะมีอายุ 17 ปี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย , ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนหนึ่งของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตาย และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งหลังแถลงข่าวเสร็จฝ่ายสืบสวน สน.ฉลองกรุงนำตัวนายสาธิตไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพื่อประกอบสำนวนคดีก่อนส่งตัวดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มอบหมายให้นางนงภรณ์ รุ่งเพชร์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา มามอบให้กับครอบครัวผู้เสียหาย จำนวน 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 ให้การคุ้มครองประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อที่ตกเป็นผู้เสียหายที่ถูกกระทำโดยตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง







