วัดกัลยาฯเมินกรมศิลป์ เดินหน้าบูรณะฉลอง190 ปี

วัดกัลยาฯ เมินกรมศิลป์ เดินหน้าบูรณะฉลอง 190 ปี อ้างยังไม่ชี้ชัดขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถาน ศาลยังไม่ตัดสิน
จากกรณีนายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร แจ้งความดำเนินคดีกับผู้สั่งการและทำลายโบราณสถานสำคัญภายในวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร ถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่ เขตธนบุรี ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (19 มี.ค.) ที่วัดกัลยาณมิตรฯ นายวัชรา พรหมเจริญ ประธานที่ปรึกษาวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า สิ่งที่วัดดำเนินการอยู่ทำถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างอิงประกาศการขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร วันที่ 22 พ.ย.2492 เรื่องขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัด 28 แห่ง โดยในส่วนของวัดกัลยาณมิตร ระบุเพียงขึ้นทะเบียนโบราณสถาน วัดจึงไม่ทราบว่า ขึ้นทะเบียนอะไร และกรมศิลปากรก็ไม่มีหนังสือแจ้งให้วัดทราบ วัดจึงดำเนินการพัฒนาวัดเรื่อยมา
นายวัชรา กล่าวว่า ต่อมาในปี 2546 กรมศิลปากรได้เข้ามาสำรวจบัญชีโบราณสถานวัด พร้อมแจ้งจับวัดว่า ทำลายโบราณสถานโดยไม่ขออนุญาตกรมศิลปากร กรณีดังกล่าว วัดก็ได้ชี้แจงว่า ได้ทำหนังสือที่ทำเรื่องของอนุญาตบูรณะวัดกับกรมศิลปากรไปเมื่อปี 2546 กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ปี 2550 และฉบับที่ 3 ส่งไปยังกรมศิลปากรอีกครั้งในปี 2551 ก็ยังไม่ได้รับคำตอบวัดจึงปรับปรุงโดยในปีเดียวกันนี้ กรมศิลปากรก็เข้ามาดำเนินคดีกับวัด และฟ้องดำเนินคดีแต่อัยการไม่สั่งฟ้อง เพราะทางวัดไม่มีเจตนาที่จะทำลาย
นายวัชรา กล่าวต่อไปว่า ต่อมาในปี 2554 วัดจึงทำหนังสือขอพระราชทานพระมหากรุณาให้ ”โครงการบูรณปฏิสังขณ์วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เขตพุทธาวาส” อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผ่านสำนักราชเลขาธิการ กระทั่ง วันที่ 2ธ.ค.2554 ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ ปฎิบัติราชการแทน ราชเลขาธิการ ได้ส่งหนังสือแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระมหากรุณาให้โครงการปฏิสังขรณ์ฯ เขตพุทธวาส ได้แก่ งานบูรณปฏิสังขรณ์หอพระธรรม มณเฑียรเถลิงพระเกียรติ พระอุโบสถ พระวิหารหลวง และพระวิหารน้อย อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ตามที่ขอพระมหากรุณา และทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ได้เข้ามาดำเนินการโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 500 - 600 ล้านบาท ซึ่งหนังสือดังกล่าวส่งไปเพราะวัดยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นโบราณสถานบ้าง
“เรื่องที่แจ้งความเรานั้น ยืนยันว่า กระบวนการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ยังอยู่ในชั้นศาลคดียังไม่สิ้นสุด และที่มาแจ้งความก็เป็นจุดที่ยังไม่ได้ระบุว่า ขึ้นทะเบียน เพราะวัดก็มีเอกสารของวัดอยู่ ส่วนในเขตโบราณสถานที่อ้างว่าวัดได้ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีเขต สำหรับพระอุโบสถ พระวิหารหลวง พระวิหารน้อย หอมณเฑียรธรรมเฉลิมพระเกียรติ หรือ หอไตร อยู่ในโครงการพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาตั้งแต่ปี 2554 เวลาวัดได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้โครงการอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว กรมศิลปากรต้องออกหนังสืออนุญาตให้ดำเนินการในโครงการ และต้องระบุคำที่ถูกต้อง อย่าใช้คำว่าบูรณะโบราณสถานโดยไม่ได้รับการอนุญาต เพราะโบราณสถานมีแค่พระอุโบสถ พระวิหาร พระวิหารน้อย หอมณเฑียรธรรมเฉลิมพระเกียรติเท่านั้น ส่วนที่เหลือรอต้องรอศาลตัดสิน ขณะที่รายละเอียดการบูรณะต้องถามสำนักงานทรัพย์สินฯ ” ประธานที่ปรึกษาวัดกัลยาณมิตรฯ กล่าว
นายวัชรา กล่าวอีกว่า กรณีศาลราย ที่กรมศิลปากรระบุว่า เป็นศาลารายสมัยรัชกาลที่ 3 นั้น วัดมีหลักฐานว่าศาลารายในสมัยรัชกาลที่ 3 พังหมดแล้ว มีการบันทึกภาพถ่ายทั้งหมดว่า พังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เหลือเพียง 2 หลัง และมีภาพถ่ายชัดเจน ว่าศาลาราย สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นศาลากระเบื้องเกร็ดเล็กเรียงเป็นแถว แต่ที่ ให้ในปัจจุบันเป็นเก๋งจีน เข้าใจว่าทำในสมัยรัชกาลที่ 9 ในระหว่างที่รื้อถอนยังเจอเหล็กเส้นครบถ้วน วัดจะมีภาพเก่า ทั้งนี้หากศาลมีคำสั่งรับฟ้องคดีดังกล่าว ทางวัดไปฟ้องที่ศาลปกครองขอพิจารณาคดีใหม่ หากมีคำตัดสินว่าเป็นโบราณสถานก็ถือว่าเป็นศูนย์ พร้อมที่จะเริ่มใหม่ให้กรมศิลปากรมากำหนดว่าตรงไหนเป็นโบราณสถานบ้าง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อยังไม่มีคำตัดสิน ก็ยังคงยืนยันดำเนินการต่อไปแม้คดียังอยู่ในการพิจารณาชั้นศาล เนื่องจาก วัดจะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง ครบรอบ 190 ปีในอีก 2 ปีข้างหน้า จึงอยากให้แล้วเสร็จทัน และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการบูรณะเก๋งจีน ปรับปรุงภูมิทัศน์ท่าน้ำให้สวยงาม
ด้านพระพรหมกวี (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ) เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เพียงสั้นๆ ว่า เรื่องทั้งหมดเป็นโครงการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อถามว่าอธิบดีกรมศิลปากร เคยติดต่อขอเข้าพบจริงหรือไม่ พระพรหมกวี กล่าวว่า เป็นโครงการของสำนักงานทรัพย์สินฯ หากอธิบดีกรมศิลปากรอยากพบก็ควรเข้าสอบถามสำนักงานทรัพย์สินฯ







