'ทิพยประกันชีวิต'เดินหน้าเข้าตลาด

'ทิพยประกันชีวิต'เดินหน้าเข้าตลาด

"ทิพยประกันชีวิต" เผยเดือนหน้าเลือกเอฟเอ พร้อมล้างขาดทุนสะสมหวังเข้าตลาดไตรมาส3/58

“ทิพยประกันชีวิต” เผยเดือน ก.ย.ได้ข้อสรุปเลือกที่ปรึกษาการเงิน “บัวหลวง-เคทีซีมิโก้” ตัวเต็ง เตรียมล้างขาดทุนสะสมไตรมาส 3/57 ก่อนนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ไตรมาสที่ 3/58 ปลื้มครึ่งปีแรกโชว์กำไรสุทธิ 197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 194% ด้าน “กรุงไทย-แอกซ่า” โชว์ยอดขายเบี้ยประกันรับปีแรก 8.12 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจครึ่งหลังยังเติบโตต่อเนื่อง ส่วนพอร์ตลงทุนครึ่งปีแรกให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.5%

นายนพพร บุญลาโภ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททิพยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ในเดือนก.ย.นี้บริษัทเตรียมเซ็นสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ราวไตรมาส 3 ของปี 2558 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยล่าสุดบริษัทได้คัดเลือกพิจารณาเหลือ 2 ราย คือ บล.เคทีซิมิโก้ จำกัด และบล.บัวหลวง จำกัด ขณะเดียวกันยังมีแผนล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 100 กว่า ล้านบาทภายในไตรมาสที่ 3/57 นี้ ด้วย ซึ่งเชื่อว่าเราจะทำได้แน่เพราะเรายังมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 197 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 76 ล้านบาท หรือ 194% โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยรวมอยู่ที่ 1,654 ล้านบาท ลดลง 270 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่มี 1,924 ล้านบาท เนื่องจากสินไหมจ่ายและเงินสำรองประกันภัยลดลง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการรับประกันภัย 219 ล้านบาท และกำไรจากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้น 134 ล้านบาท

"ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโต 500 ล้านบาท เบี้ยประกันรับรวมเติบโตที่ 5,000 ล้านบาท ส่วนปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวมที่ 5,600 ล้านบาท กำไรสุทธิ 560 ล้านบาท ส่วนความพร้อมในการขยายตลาดสู่เออีซีนั้น ในขณะนี้บริษัททิพยลาวได้เปิดดำเนินธุรกิจในลาวเรียบร้อยแล้ว ส่วนบริษัททิพยเขมรและบริษัททิพยพม่า อยู่ระหว่างทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 58 เช่นกัน”

ทางด้านนายเดวิด โครูนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัทกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตเป็นอย่างดี โดยมีเบี้ยรับปีแรกเพิ่มขึ้นเป็น 8,122 ล้านบาท จาก 5,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เบี้ยประกันรวมเพิ่มขึ้น 37% มาอยู่ที่ 23,800 ล้านบาท โดยอัตราการบริหารค่าใช้จ่ายรวมปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงมาอยู่ที่ 5.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 6.0% ซึ่งสะท้อนถึงการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างดีเยี่ยมและการควบคุมทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารยังเติบโตสูงขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับสัดส่วนการลงทุนยังรักษาระดับในอัตราคงที่แบ่งเป็นหุ้น 7% พันธบัตรรัฐบาล 8.5% ซึ่งในจำนวนนี้มีพันธบัตรต่างประเทศอยู่เล็กน้อยประมาณ 2 - 3% ตราสารการเงินระยะสั้นและเงินสด 3% และอื่นๆ 5% โดยผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ 4.5%