วงเสวนาสื่อฯ สะท้อนภาพ "คนข่าว" ในอุดมคติ สวนทางกับ ความจริง-เน้นธุรกิจ

วงเสวนาสื่อฯ สะท้อนภาพ "คนข่าว" ในอุดมคติ สวนทางกับ ความจริง-เน้นธุรกิจ

เวทีสื่อ-เครือข่าย เผยเรื่องร้องเรียนจริยธรรมสื่อในรอบปี และการนำเสนอข่าวที่ผู้บริโภคไม่เชื่อใจ ด้าน วงเสวนาฉายภาพอุดมคติสวนทางความจริง สังคมคาดหวังสูงเรื่องจริยธรรมกับสื่อที่ต้องดิ้นรนให้รอดทางธุรกิจ

          โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาองค์กรของผู้บริโภค สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ  สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น และ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) จัดงาน Year End Forum ผลสำรวจประเด็นสำคัญในรอบปี ณ ชั้น 31 อาคาร G Tower รัชดา พระรามเก้า (ฝั่งเหนือ) กรุงเทพฯ

 

             โดย นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาองค์กรของผู้บริโภค ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการคุ้มครองผู้บริโภคหลากหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการได้รับบริการสื่อสารรวมถึงข่าวสารต่างๆ บนเป้าหมายที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องได้ความคุ้มครอง มีความปลอดภัยในการได้รับข้อมูลข่าวสาร จากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

 

                 ขณะที่ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติภายใต้คณะกรรมการชุดปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการทำให้สื่ออาชีพมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งทุกวันนี้ผู้บริโภคก็มีข้อสงสัย ในฐานะเป็นองค์กรกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรรมสื่อมวลชน ก็คงต้องเน้นทำงานในส่วนนี้มากขึ้น ซึ่งการนำเสนอผลการศึกษาในครั้งนี้ว่าด้วยประชาชนเชื่อใจสื่อมาก-น้อยเพียงใด จะนำไปสู่การแก้ไข รวมถึงยังมีการนำเสนอเรื่องนโยบายการสื่อสารที่มีผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และมีข้อเสนอต่อรัฐ สื่อและสังคมด้วย

 

                 “วันนี้ยังคงมีประเด็นที่สื่อได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการนำเสนอข่าวมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นครั้งคราว แม้ในส่วนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจะมีข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และแนวปฏิบัติต่างๆ ที่คอยย้ำเตือนสื่อมวลชนที่เป็นสมาชิกไม่ให้ไปละเมิดสิทธิมนุษยชน ตรงนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของการทบทวนข้อเสนอที่ให้เราทำงานได้อย่างรอบคอบมากขึ้น” ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าว

                 ทางด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า การสื่อสารในยุคดิจิทัลมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ด้านหนึ่งคือการสื่อสารทำได้ง่ายและเร็วขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งข้อมูลข่าวสารที่เป็นมลภาวะ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบิดเบือน สับสน ไม่ถูกต้อง หรือเนื้อหาที่กระทบสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนและสตรี ตลอดจนผู้เสียชีวิตหรือใครก็ตามที่ตกเป็นข่าว  เรื่องเหล่านี้ต้องพูดคุยกันเสมอเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพในการสื่อสารกับความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งที่เป็นสื่อมวลชนและประชาชนทุกคนด้วย

 

                 “ในยุคนี้ไม่ใช่เป็นแค่สื่อมวลชนเท่านั้น แต่ทุกคนก็ยังเป็น บก. ด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นคนแชร์ข่าว หรือเป็นคนให้ความเห็น เพราะฉะนั้นไม่เฉพาะสื่อมวลชน แต่พลเมืองผู้บริโภคทุกคนก็ต้องตื่นตัว ตื่นรู้ และเป็นพลเมืองยุคดิจิทัลที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งทางคณะผู้จัดงานก็หวังว่า เนื้อหาในวันนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งการทำงานในเชิงนโยบายและในเชิงปฏิบัติของทุกหน่วยงานต่อไป” น.ส.สุภิญญา กล่าว

วงเสวนาสื่อฯ สะท้อนภาพ \"คนข่าว\" ในอุดมคติ สวนทางกับ ความจริง-เน้นธุรกิจ

 

                 จากนั้นเป็นการเผยแพร่ผลการสำรวจในหัวข้อ “เรื่องร้องเรียนจริยธรรมสื่อในรอบปี และการนำเสนอข่าวที่ผู้บริโภคไม่เชื่อใจ” โดยนายชาย ปถะคามินทร์ ผู้อำนวยการบริหาร สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวถึงภาพรวมของการสำรวจ ว่า ประเด็นข่าวในปี 2565 ที่ใช้ในการสำรวจมีทั้งสิ้น 11 เรื่อง ประกอบด้วย

                 1.ข่าวการฆ่าตัวตายของ ไมเคิล พูพาร์ท ดาราดัง เหตุเกิดวันที่ 21 ม.ค. 2565 ซึ่งพบว่า สื่อนำเสนออย่างละเอียดทั้งคลิปเสียง จดหมายลาตายและแรงจูงใจของการฆ่าตัวตาย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมองว่าการละเมิดจริยธรรมยังไม่ชัดเจน

                 2.ข้อร้องเรียน นสพ.ไทยรัฐ พาดหัวข่าวไม่เป็นจริง กรณีพาดหัวข่าวว่า “นักท่องเที่ยวหนีทะเลน้ำมัน เกาะเสม็ดเจ๊ง รีสอร์ท เรือ ร้านอาหารโวยได้รับผลกระทบหนัก” ซึ่งสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2565 เนื่องจากประชาชนชาว จ.ระยอง ไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทาง นสพ.ไทยรัฐ ได้ส่งหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งพบว่าเป็นการรายงานข่าวตามข้อเท็จจริง เรื่องนี้จึงยุติไป

 

                 3.ข่าว แตงโม-นิดา (ภัทรธิดา) พัชรวีระพงษ์ ดาราดัง ตกน้ำเสียชีวิต เหตุเกิดวันที่ 24 ก.พ. 2565 เป็นกรณีที่สื่อนำเสนอข่าวแบบต่อเนื่องยาวนานนับเดือน

 

                 4.ข่าวอุบัติเหตุ หมอกระต่าย-พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ถูกนายตำรวจยศสิบตำรวจตรีขี่มอเตอร์ไซค์ชนเสียชีวิต บริเวณทางม้าลายหน้าสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท เหตุเกิดวันที่ 21 ม.ค. 2565 กรณีนี้และรวมถึงกรณีของแตงโม-นิดา การนำเสนอข่าวของสื่อนอกจากรายงานเหตุการณ์หรือข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนแล้ว ยังสามารถให้ความรู้หรือกระตุ้นเตือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความสูญเสีย เช่น กรณีข่าวหมอกระต่าย ประชาชนระมัดระวังในการขับขี่ผ่านทางม้าลายมากขึ้น หรือทางม้าลายในกรุงเทพฯ ถูกทาสีให้เห็นชัดเจนขึ้น

 

 

                 5.ข่าวผู้นำยูเครนสวมเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ของลัทธินาซี ซึ่ง นสพ.ไทยโพสต์ ถูกร้องเรียนว่านำเสนอข่าวไม่ตรงกับความจริง กรณีนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบในวันที่ 24 มี.ค. 2565 ต่อมาทาง นสพ.ไทยโพสต์ ได้ลบข่าวดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ แต่ไม่มีการชี้แจงใดๆ กลับมาที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 

                 6.การนำเสนอข่าวหลวงปู่แสงของ นสพ.ไทยรัฐ กรณีนี้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในการประชุมกรรมการจริยธรรม เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2565 เหตุการณ์นี้เนื่องจากมีคณะสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา เดินทางไปที่สำนักสงฆ์ดงสว่างธรรม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร หลังมีเรื่องร้องเรียนกรณีพระเกจิดังอายุร่วม 100 ปี มีพฤติกรรมลวนลามหญิงสาว

                 ซึ่งเรื่องนี้สื่อมวลชนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะเป็นการทำข่าวพระสงฆ์ที่มีประชาชนนับถือมาก ประเด็นนี้ทาง นสพ.ไทยรัฐ ยอมรับว่ามีผู้สื่อข่าวหญิงเดินทางไปจริง โดยไม่ได้แจ้งหัวหน้าข่าวและกองบรรณาธิการทราบ ทำให้เกิดการผิดพลาดขึ้น เบื้องต้นมีการสั่งพักงานผู้สื่อข่าวคนดังกล่าว 7 วัน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนหัวหน้างานตามลำดับสายงาน ต่อมาสำหรับผู้สื่อข่าวและโปรดิวเซอร์รายการที่ไปทำข่าว มีบทลงโทษให้ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนบรรณาธิการของไทยรัฐทีวีให้ตักเตือนและกำชับให้ระมัดระวังให้มากกขึ้น

 

                 7.เว็บไซต์แห่งหนึ่งร้องเรียนสำนักข่าวสปริงนิวส์ คัดลอกข่าวไปใช้โดยไมได้รับอนุญาตและไม่มีการอ้างถึงต้นทาง จากการตรวจสอบยังพบสำนักข่าวอื่นๆ ที่นำเนื้อหาดังกล่าวมาใช้ ประกอบด้วย เดลินิวส์ ไทยพีบีเอส และโพสต์ทูเดย์ แต่ในเวลาต่อมาพบว่าสำนักข่าวกลุ่มนี้ได้ทำหนังสือขอโทษไปแล้ว

 

                 8.สถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยต์นำเสนอข่าวนักเรียนชาย-หญิงมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในร้านกาแฟ เบื้องต้นได้แจ้งไปยังสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ซึ่งทางสภาวิชาชีพฯ ได้นำเข้าเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในสัปดาห์นี้

 

                 9.ข่าวกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ จ.หนองบัวลำภู เหตุเกิดวันที่ 6 ต.ค. 2565 เรื่องนี้ทั้งสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ หารือและร่วมกันออกแถลงการณ์กำชับให้สื่อระมัดระวังการนำเสนอข่าว การใช้ภาพและการตั้งคำถามที่อาจไปซ้ำเติมความเศร้าโศกของญาติผู้สูญเสียไม่ว่าเหยื่อหรือผู้ก่อเหตุ หรือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ตกเป็นข่าว

 

                 10.ข่าวการทำร้ายร่างกาย ศรีสุวรรณ จรรยา ขณะเดินทางไปร้องเรียนให้ตรวจสอบ โน้ส-อุดม แต้พานิช และข่าว เค ร้อยล้าน ทำร้ายร่างกาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ หยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาในวันที่ 26 ต.ค. 2565 มีมติให้นำเสนอในรายการวิทยุ “รู้ทันสื่อ” ของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ในหัวข้อ บทบาทสื่อในการลดความรุนแรงและความเกลียดชัง ทางคลื่น FM100.5 อสมท.

 

                 และ 11.กรณีสำนักข่าวดาราเดลี พาดหัวข่าวล่อแหลม ส่อเสียด ไม่เป็นความจริง และไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ กรณีดาราสาวเจอคนโรคจิตคุกคาม และยังเจอความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยพาดหัวมีการใช้คำว่า “ขาย...” ซึ่งถูกมองว่านำเสนอแบบสองแง่สองง่าม เร้าอารมณ์และไม่ตรงกับเนื้อหาข่าว ซึ่งแม้ต้นทางจะยอมรับความผิดพลาดและลบข่าวดังกล่าวออกไปแล้ว แต่ทางคณะกรรมการก็ได้ทำหนังสือตักเตือนเรื่องการนำเสนอข่าวอย่างผิดจริยธรรม

 

 

                 ทางด้าน ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงการสำรวจทางออนไลน์ด้วยวิธี Google Form ระหว่างวันที่ 2-17 ธ.ค. 2565 มีการตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 248 ครั้ง ซึ่งแม้จะดูน้อยแต่ความน่าสนใจคือการให้ความเห็นเพิ่มเติมของผู้ตอบแบบสอบถาม นอกเหนือจากคำถามหลักที่กำหนดให้ต้องตอบ มีข้อค้นพบ

                 1.ข่าวแตงโม-นิดา ตกน้ำเสียชีวิต ถูกมองว่าการทำงานของสื่อเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมมากที่สุด รองลงมาเป็นข่าวกราดยิงศูนย์เด็กเล็กที่ จ.หนองบัวลำภู และข่าวหลวงปู่แสง

 

                 นอกจากนั้นยังมีข่าวอื่นๆ ที่ผู้ตอบแบบสอบถามเพิ่มเติมเข้ามา เช่น การนำเสนอข่าวของสำนักข่าวบางแห่งที่อิงการเมือง ข่าวปลากุเลา ข่าวหมอนวดหลอนยา ฯลฯ

                 2.สื่อถูกมองว่าละเมิดความเป็นส่วนตัว/สิทธิเด็ก/สิทธิสตรีมากที่สุด รองลงมาคือการนำเสนอข่าวแบบหวือหวา ดราม่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการนำเสนอเนื้อหา ภาพและเสียงที่ไม่เหมาะสม (อนาจาร อุจาด ละเมิดสิทธิ) รองลงไปเป็นการนำเสนอแบบมีอคติไม่รอบด้าน ข้อมูลบิดเบือนคลาดเคลื่อน ไม่ใช้วิธีการตรงไปตรงมาเพื่อให้ได้ข่าว และทำให้สังคมตื่นตระหนก

 

                 3.ข้อเรียกร้องต่อสื่อให้ปรับปรุงมากที่สุด คือการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม สร้างความเกลียดชัง รองลงมาคือการนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และมี 2 เรื่องที่เสียงสะท้อนใกล้เคียงกัน คือการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่รอบด้านและไม่เป็นความจริง และการไม่คำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้หญิง ผู้สูงวัย ผู้บกพร่องทางร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเรื่องแฝงประโยชน์ทางธุรกิจ-รายได้ ไม่ทำหน้าที่อย่างโปร่งใส สุจริต ตรงไปตรงมา และมีอคติทางการเมือง

 

                 4.มาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้สื่อได้รับความไว้วางใจจากสังคมมากที่สุด รองลงมาคือการจัดพื้นที่ให้ผู้รับสารได้เสนอแนะเพื่อปรับปรุงการทำงานของสื่อ ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลในข่าว โดยเฉพาะข่าวสืบสวนสอบสวนหรือข่าวที่เป็นข้อถกเถียง ส่วนเสียงสะท้อนอื่นๆ เช่น กองบรรณาธิการมีความพยายามและความมุ่งมั่นในการรายงานข่าว แยกให้ชัดเจนระหว่างข่าวกับบทความหรือบทวิเคราะห์ ผู้สื่อข่าวควรรายงานมาจากพื้นที่หรือมีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่นั้น สื่อต้องมีความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ อธิบายกระบวนการทำข่าว โดยเฉพาะข่าวสืบสวนสอบสวนหรือข่าวที่เป็นข้อถกเถียง เปิดเผยชื่อ ประวัติและความเชี่ยวชาญในผลงานที่นำเสนอ

 

                 5.สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นองค์กรที่ถูกนึกถึงมากที่สุดเมื่อจะร้องเรียนสื่อ ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นการร้องเรียนสื่อโทรทัศน์ รองลงมาคือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเหตุผลคือน่าจะเป็นสมาคมที่อยู่มานาน จึงได้รับการนึกถึงแม้จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อหนังสือพิมพ์ในแบบสอบถามน้อยก็ตาม จากนั้นจะเป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกัน เช่น สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และนอกจากสมาคมวิชาชีพสื่อ ผู้ตอบแบบสอบถามยังนึกถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงกรมประชาสัมพันธ์

 

                 ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าวต่อไปว่า สำหรับความคิดเห็นอื่นๆ นอกเหนือจากคำถามที่กำหนดให้ต้องตอบ สามารถแบ่งได้ 7 กลุ่มดังนี้

                 1.ด้านกฎหมาย ให้มีการปฏิรูปสื่อ มีกฎหมายรองรับและเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้น

 

                 2.ด้านจริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อที่คุ้นเคยกันดี ทั้งเรื่องความถูกต้อง สมดุล ไม่อคติ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ รวมถึงมีข้อเรียกร้องให้คนจะทำงานสื่อต้องผ่านการอบรมและสอบจริยธรรม และต้องต่ออายุทุกปี

 

                 3.ด้านการทำหน้าที่ของสื่อ มีเสียงสะท้อนว่าสื่อทำหน้าที่ได้ด้อยลงทั้งคุณภาพข่าว การนำเสนอ ภาษาและจริยธรรม ไม่มีนักข่าวมีแต่นักเล่าข่าว และเชิญชานสื่อให้ไม่สนับสนุนสำนักข่าวที่นำเสนอข่าวอย่างขัดต่อจริยธรรม หลอกลวงเพื่อเรตติ้ง และข่าวบันเทิงที่ไม่มีสาระประโยชน์ ในทางกลับกัน สิ่งที่สื่อควรทำคือ ตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้านก่อนนำเสนอ พยายามรักษาจริยธรรมและมาตรฐานการทำข่าวด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์

                 ข่าวที่ดีต้องถูกต้อง ตรงไปตรงมา ไม่ชี้นำ ไม่สร้างกระแส ไม่นำมาเป้นเครื่องมือทำมาหากินสร้างเรตติ้ง นำเสนอข่าวตรงไปตรงมา ไม่โน้มเอียงไปฝ่ายใดหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิด นำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ ถูกต้อง เป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น ความมักง่าย นำเรื่องราวจากพื้นที่ออนไลน์มานำเสนอ นำเสนอความอาชญากรรมแบบลงรายละเอียดมากซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อพฤติกรรมเลียนแบบ นำเสนอข่าวความรุนแรง ข่าวสร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวไร้สาระ เป็นต้น

 

                 4.ด้านการนำเสนอของแพลตฟอร์ม มีไม่มากนักแต่ค่อนข้างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของเพจย่อยตามแพลตฟอร์มต่างๆ ของสื่อหลัก มีทั้งการพาดหัวแรงให้เข้าใจผิด ใส่อคติ เน้นขัดแย้ง ใส่ความเป็นตัวตนของนักข่าวหวังเรตติ้ง พาดหัวกับเนื้อหาข่าวไปคนละทาง ยัดเยียดโฆษณาในข่าว อยากให้จัดการกับสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่เนื้อหาเรื่องเท็จ หยาบคายหรือไม่เหมาะสม ให้มีมาตรการกำกับการนำเสนอข่าวออนไลน์ที่ถูกต้อง ไม่เน้นแข่งขันความเร็วและเรตติ้ง นอกจากนั้นมีความเห็นว่า กสทช. ไม่ทำหน้าที่

                 5.ด้านการกำกับดูแล-การลงโทษ ไล่ตั้งแต่ควรมีกฎหมายควบคุมอย่างจริงจัง ความคุมการออกอากาศของสื่อโทรทัศน์ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ซึ่งปัจจุบันพบการโฆษณาแฝงและโฆษณาเกินเวลา ตั้งองค์กรรับเรื่องร้องเรียนสื่อและมีบทลงโทษอย่างจริงจังกับสื่อที่ไร้จริยธรรม บิดเบือน อคติ คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไปจนกระทั่งกำหนดให้คนจะทำงานเป็นสื่อต้องผ่านการสอบจริยธรรมไม่ต่างจากแพทย์ วิศวกร สถาปนิก และต่ออายุทุกปี เป็นต้น

                 6.ด้านองค์กรวิชาชีพสื่อ มีตั้งแต่เสียงเรียกร้องให้จัดอบรมบ่อยๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำหน้าที่ อบรมจริยธรรมก่อนให้มาทำหน้าที่สื่อ เก็บประวัติและพิจารณาการต่ออายุเหมือนวิชาชีพอื่นๆ องค์กรวิชาชีพควรประชาสัมพันธ์ช่องทางการร้องเรียนและแสดงบทบาทในการกำกับดูแลกันเองของสื่อที่เป็นสมาชิกให้มากกว่านี้ และอย่าทำตัวเป็นเสือกระดาษ และ

                 7.ด้านความเห็นต่อแบบสอบถาม เช่น ดีใจที่มีการพูดถึงจริยธรรมและจรรยาบรรณสื่อ โดยเฉพาะออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงทำให้ต่ำเตี้ยลงทุกวัน รวมถึงมีเสียงสะท้อนเรื่ององค์กรตรวจสอบสื่อ ว่าไม่ต้องการเลือกองค์กรใดเลยเพราะไม่มีองค์กรใดพึ่งได้อย่างแท้จริง

 

                 ในช่วงท้ายมีการให้ความเห็น โดย นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก เยาวชน และสตรี สะท้อนภาพการนำเสนอข่าว เช่น กรณีคดีน้องชมพู่ที่สถานีโทรทัศน์บางช่องนำเสนอ จนถูกตั้งคำถามว่าทำเกินไป  ทั้งนี้มีประเด็นให้พิจารณาถึงข่าวที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ทั้งนี้สื่อนอกจากจะเป็นกระจกแล้วยังต้องเป็นแสงสว่างด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ สุดท้ายสื่อก็ยังมองผลประโยชน์และเรตติ้งเป็นหลัก

วงเสวนาสื่อฯ สะท้อนภาพ \"คนข่าว\" ในอุดมคติ สวนทางกับ ความจริง-เน้นธุรกิจ

                

                 “ความรู้ที่ปราศจากความกล้าหาญมันจะมีประโยชน์อะไร มันแค่เอาให้คนคนหนึ่งมีอาชีพ เอาตัวรอด แต่มันไม่ได้เป็นที่พึ่งของคนที่เปราะบางเลย ดังนั้นเวลาเราตั้งคำถามเรื่องพวกนี้มันก็จะวนไป-มา ระหว่างปัญหาในระดับปัจเจกกับในระดับโครง ในระดับระบบ ซึ่งเราก็อยากให้สถาบันที่ดูแลสื่อลองวิเคราะห์ตัวเองและทะลุทะลวงว่าทำอย่างไรให้ความเป็นปัจเจกของเขายังกล้าหาญต่อไป ในขณะเดียวกันทำอย่างไรกับระบบที่ไม่มันเอื้อต่อปัจเจกให้มันออ่อนแอกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาจัดการกับคนได้ง่ายๆ” นางทิชา กล่าว

 

                 นายคมกฤช ลำเจียก ตัวแทนสื่อมวลชน ยกตัวอย่างข่าวแตงโม-นิดา ตกน้ำ  เสียชีวิต ข้อมูลที่รวบรวมมาจากเพจข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องวัน 31 โดยเหตุการณ์แตงโม-นิดา ตกน้ำ เกิดขึ้นวันที่ 24 ก.พ. 2565 เปรียบเทียบระหว่างเดือน ม.ค. 2565 มียอดรับชมคลิปวีดีโอของเพจ 61.3 ล้านนาที เดือน ก.พ. 2565 มียอดรับชม 103.5 ล้านนาที เดือน มี.ค. 2565 มียอดรับชม 163.3 ล้านนาที และเดือน เม.ย. 2565 มียอดรับชม 23 ล้านนาที ข้อมูลข้างต้นนี้ชี้ว่า แค่นำเสนอข่าวแตงโม-นิดา อย่างเดียวก็ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นแล้วเพราะได้ยอดผู้รับชมมาจำนวนมาก

             "สิ่งที่สะท้อนภาพคือ การทำงานข่าวแบบง่ายๆ คือการนำเสนอเรื่องราวที่คนสนใจอยู่แล้ว ซึ่งแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีก   อย่างไรก็ตาม การที่ผู้รับสารให้ความสนใจกับข่าวประเภทหวือหวามากกว่าข่าวที่มีสาระประโยชน์  ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราไปคาดหวังกับจริยธรรมสื่อมวลชนสูงเกินไป สิ่งที่มันสะท้อนว่าจรรยาบรรณของอาชีพเหล่านั้นมันลดลงเพราะความเป็นอยู่ของอาชีพเหล่านั้นมันไม่ได้คุ้มครอง ชีวิตเขา พูดง่ายๆ ก็คือรายได้ของอาชีพสื่อมันไมได้สัมพันธ์กับความรับผิดชอบของสื่อ สื่อมีความรับผิดชอบที่สูงมากตามอุดมคติ เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม  มีจริยธรรม แต่รายได้ของสื่อใหม่ๆ น้อยกว่าพนักงานออฟฟิสด้วยซำ  ขณะที่หน้าที่รับผิดชอบในการทำงานก็มีแล้วยังต้องรับผิดชอบต่อสังคมอีก  สุดท้ายถ้าเขาต้องเลือกระหว่างความดีกับการอยู่รอดในอาชีพเพราะว่ามันต้องมีเรตติ้ง มันก็เลือกยากนะ” นายคมกฤช ระบุ

 

              ทางด้าน ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึง ร่างกฎหมายฉบับหนึ่งคือ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... ซึ่งมองเห็นข้อดีหลายอย่างในการกำกับดูแลและยกระดับมาตรฐาน แต่ในความเป็นจริงกฎหมายหลายฉบับตอนร่างในชั้นกฤษฎีกาก็ออกแบบไว้ดี แต่เมื่อเข้าสภาแล้วผ่านออกมากลับกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง อย่างไรก็คาม ไม่ว่าร่างกฎหมายนี้จะผ่านออกมาใช้จริงได้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเสียงคัดค้านจากคนในแวดวงสื่อจำนวนมาก แต่ต้องมีเครื่องมือกำกับดูแลจริยธรรมสื่อ

 

          “ผมเข้าใจว่ากระพี้หรือเปลือก คือไม่ว่ามันจะเป็น พ.ร.บ. หรือไม่มันไม่ใช่สาระสำคัญหลัก แก่นต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ คุณจะมีโครงสร้างตามที่รัฐกำหนด หรือคุณจะมีโครงสร้างในลักษณะการคว่ำบาตรโดยสังคม หรือคุณจะมีโครงสร้างในลักษณะสื่อกำกับกันเอง จะเป็นโครงสร้างใดก็ได้แต่ขอให้มันเกิด มันเหมือนกับระบบการปกครองเหมือนกัน ระบบการปกครองที่ดีที่สุดคือระบบการปกครองที่ประชาชนอยู่ด้วยกันและมีความสุขที่สุดในการจะใช้ชีวิตร่วมกัน มันไม่สามารถบอกได้ว่าเปลือกมันจะถูกรายรอบไปด้วยอะไรได้บ้าง แต่จเราะทำอย่างไรให้บ้างในสิ่งที่ผมนำเสนอ คือแก่นมันจะต้องเกิดไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน” ดร.มาร์ค กล่าว

 

                 ส่วน ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย กรรมการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า  กรณีที่คนสนใจข่าวที่ถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิก็เพราะเป็นเรื่องสนุก  ทุกวันนี้คนก็อยากมีส่วนร่วมเป็นนักข่าว อยากให้ความเห็นไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บางเรื่องไม่ควรพูดก็พูดแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่สื่อด้วยกันก็ทำให้เรื่องพวกนี้ยิ่งสนุกกันไปมากขึ้น เห็นได้จากหลายรายการมีคนดูจำนวนมาก ส่วนการกำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพนั้นมีข้อจำกัดคือไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นเพียงสัญญาสุภาพบุรุษ  

                 “เวลาด่าสื่อคุณด่าตัวเองสิว่าคุณเลือกดูอะไร ถามว่ามันมีของดีอยู่ไหม? มี แต่ของไม่ดีมันก็มี แต่ผมหมายถึงว่าถ้าคุณจะด่าคุณก็ต้องดูด้วยว่าคุณไปสนับสนุนสื่อพวกนี้ด้วยหรือเปล่า” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

 

                 ทางด้าน รศ.รุจน์ โกมลบุตร อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า  สำหรับประเด็นที่จะเป็นทางออกของวังวนของปัญหา ตนเชื่อว่าไม่มีคำตอบสุดท้ายเพราะต้องประกอบจากหลายส่วน ไล่ตั้งแต่คนทำงานสื่อเองต้องมีสำนึก เช่น ระยะหลังๆ มีความพยายามบอกว่าสื่อคือธุรกิจ แต่ในอดีตสอนกันว่าการเป็นสื่อไม่ใช่เป็นนักธุรกิจ แม้จะเป็นอาชีพหารายได้แต่ก็ต้องตระหนักในหน้าที่ ขณะที่กลไกควบคุมกันเองนั้นอยากให้ทำให้สำเร็จ  ขณะที่การรักษากฎหมาย การรักษาจริยธรรม เป็นหน้าที่พลเมืองทุกคน