ฉลองวันฟรุตเค้ก 27 ธ.ค. ขนมยอดนิยมนิรันดร์กาลแห่ง 'เทศกาลคริสต์มาส'

วันที่ 27 ธันวาคม เป็น วันฟรุตเค้ก (National Fruit Cake Day) ก่อตั้งในอเมริกา ซึ่งสืบทราบไม่ได้ว่าเริ่มก่อตั้งเมื่อใด อเมริกันชนถือว่าเป็นคนกินฟรุตเค้กมากที่สุดเมื่อยึดจากจำนวนประชากร และเฟื่องฟูมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะเมื่อถึง เทศกาลคริสต์มาส ต้องกินฟรุตเค้ก หรือมอบเป็นของขวัญ ฟรุตเค้กยังได้ชื่อว่าเป็นขนมเค้กวันแต่งงานด้วย

ตลอดหลายปี ขนมอบประจำเทศกาลคริสต์มาสมีมากมาย เช่น คริสต์มาสพุดดิ้ง, เค้กขอนไม้, ขนมปังขิง, พีแคนพาย, พาฟโลวา, สติ๊กกี้ ทอฟฟี่ พุดดิ้ง, แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล ฯลฯ แต่ใด ๆ ก็ไม่เทียบเท่า ฟรุตเค้ก ขนมที่อัดแน่นด้วยส่วนผสมที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์

Christmas Panettone Pudding (Cr.delicious.com.au)

Gingerbread Cookies (Cr.britannica.com)

ฟรุตเค้ก ขนมอบสัญลักษณ์วันคริสต์มาส

ฟรุตเค้ก กำเนิดจากยุโรป ในยุคที่น้ำตาลนำเข้าจากอเมริกากลางราคาถูกลง พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ นักรบครูเสดในยุคกลางที่ไม่ได้รับจ้างทำสงครามอย่างเดียว หากมีเวลาว่างไปเป็นพ่อค้าคนกลาง ซื้อขายเครื่องเทศจากตะวันออกสู่ยุโรป ฟรุตเค้กจึงหรูหราขึ้นเรื่อย ๆ อัดแน่นด้วยผลไม้อบแห้ง ถั่ว ธัญพืช ชุ่มฉ่ำด้วยการแช่รัม บรั่นดี หรือวิสกี้ ตามที่มีในแต่ละท้องถิ่น

Traditional Christmas Pudding คล้ายฟรุตเค้กแต่คนละชนิดกัน (Cr.taste.com.au)

ฟรุตเค้กยังเป็นสัญลักษณ์ของขนมอบที่แสดงถึงชีวิตที่ยืนยาว ส่งต่อความปรารถนาดี เพราะฟรุตเค้กเก็บได้นาน หวานหอม และกว่าจะทำฟรุตเค้กก็ต้องใช้เวลาเตรียมการหลายเดือน ตั้งแต่การหมักเชื่อมผลไม้และธัญพืช เตรียมเครื่องเทศเช่น ลูกจันทน์เทศ อบเชย กานพลู น้ำผึ้ง ดังนั้นจึงคู่ควรเป็นขนมอบที่กินจบมื้ออาหารในเทศกาลเฉลิมฉลอง

ฟรุตเค้ก (Cr.pastrychefonline.com)

ไทม์ไลน์ฟรุตเค้ก

3000 ปีก่อนคริสตกาล ฟรุตเค้กเป็นขนมอบที่เก่าแก่ที่สุดก่อนการมาของศาสนาคริสต์ บันทึกไว้ว่าชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมีย รู้จักอบขนมที่มีส่วนผสมของมะเดื่อ อินทผลัม และถั่วชนิดต่าง ๆ เข้ากับแป้ง นำมาเคี่ยวปั้นเป็นก้อนแล้วอบทำถวายเทพแห่งแม่น้ำ เทพแห่งฝน และเทพแห่งการเก็บเกี่ยว

1894 ปีก่อนคริสตกาล ในเมโสโปเตเมียเชื่อว่าฟรุตเค้กเป็นมากกว่าขนม หากหมายถึงพิธีกรรมเพื่อขอพรสู่ความรุ่งเรือง ปัดเป่าความชั่วร้าย เป็นสะพานเชื่อมโลกไปสู่สวรรค์

3000 ปีก่อน ค.ศ. – 30 ปีก่อน ค.ศ. ยุคอียิปต์โบราณ ฟรุตเค้กหรูหราขึ้นด้วยน้ำผึ้ง มะเดื่อ และถั่วหลายชนิด ที่เก็บเกี่ยวในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ เชื่อว่าคือของขวัญจากพระเจ้า ฟรุตเค้กจึงเป็นขนมที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเชื่อนี้ส่งต่อไปสู่ยุคอาณาจักรโรมัน (30 ปีก่อน ค.ศ.)

pavlova หนึ่งในขนมอบวันคริสต์มาส (Cr.taste.com.au)

800 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ.600 ยุคกรีกโบราณ ฟรุตเค้กเพิ่มส่วนผสมที่หลากหลายขึ้น เช่น ข้าวบาร์เล่ย์ ผลไม้แห้งเช่น มะเดื่อ ลูกเกด ใช้ในงานพิธีกรรมและให้เป็นของขวัญในวันแต่งงาน

ฟรุตเค้ก ของขวัญแห่งเทศกาลคริสต์มาส (Cr.thefeedfeed.com)

800 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ.600 ชาวกรีกโบราณรู้จักฟรุตเค้กพอ ๆ กับ “พลากัส” (Plakous) หรือ Flatbread ขนมปังแบนเป็นอาหารประจำวัน แต่ฟรุตเค้กเป็นขนมบูชาเทพ ความเชื่อนี้ส่งต่อไปถึงยุคไบเซนไทน์จนถึงอาณาจักรโรมัน

ค.ศ.476 อาณาจักรโรมัน ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ 753 ปีก่อนคริสตกาล ชาวโรมันเรียกส่วนผสมในฟรุตเค้กว่า Satura ได้แก่ ถั่ว ลูกเกด ผลไม้แห้ง ไวน์ น้ำผึ้ง ที่ต้มเคี่ยวเข้าด้วยกัน ทำเพื่อฉลองเทพเจ้า และเพื่องานรื่นเริงเช่นงานแต่งงาน ให้วันเกิดเพื่อน แม้ถึงวันที่อาณาจักรโรมันล่มสลายไปเมื่อปี ค.ศ.476 ความเชื่อว่าฟรุตเค้กคือสัญลักษณ์ของความมั่งมียังคงอยู่ต่อไป

Pecan Pie ขนมประจำเทศกาลคริสต์มาส (Cr.taste.com.au)

1600 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ.200 ฟรุตเค้กจีน บันทึกว่าราชวงศ์ซาง (1600 ปีก่อน ค.ศ.) มีผู้ทำเค้กรสหวนที่อัดแน่ด้วยผลไม้แห้งและถั่ว นิยมกินฉลองในเทศกาลตรุษจีน เชื่อว่าส่วนผสมอันอุดมเหล่านี้สื่อถึงความสุข ความมั่งคั่ง อายุยืนยาว คนจีนไม่ได้กินแค่บัวลอยและเส้นหมี่สื่อถึงอายุที่ยืนยาวเท่านั้น หากกินฟรุตเค้กในเทศกาลเฉลิมฉลอง ตั้งแต่ระดับฮ่องเต้จนถึงสามัญชน ความเชื่อนี้ส่งต่อไปถึงราชวงศ์โจวและราชวงศ์ฮั่น

Sticky Toffee Pudding นิยมเสิร์ฟในเทศกาลคริสต์มาส

ศตวรรษที่ 5 – 15 ฟรุตเค้กในยุคกลาง ราวศตวรรษที่ 11 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอังกฤษ เมื่อนักรบครูเสดเปิดเส้นทางค้าขายกับพ่อค้าจากตะวันออก นำเครื่องเทศเช่น อบเชย ลูกจันทน์เทศ กานพลู สู่ยุโรป ฟรุตเค้กจึงรุ่มรวยด้วยส่วนผสมที่เต็มอิ่มกว่าเดิม

ในอังกฤษเกิดคำว่า English Plum Cake เมื่อราวศตวรรษที่ 14 ซึ่งหมายถึงฟรุตเค้ก คนอังกฤษบอกว่าคำว่า Plum หมายถึงผลไม้แห้งทั้งหมด ตั้งแต่ลูกเกด เบอร์รี่ เคอแรนท์ ผสมกับแป้งสาลี ไข่ เนย อย่างเข้มข้น กลายเป็นขนมอบประจำเทศกาลคริสต์มาส และให้เป็นขนมวันแต่งงาน และอร่อยยิ่งขึ้นเมื่อแช่ในแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ และเอล (Ale เบียร์ชนิดหนึ่ง) เพื่อถนอมอาหารให้เก็บได้นานหลายเดือน

Yule Log Cake หรือเค้กขอนไม้ (Cr.thegypsychef.com)

ศตวรรษที่ 14 – 17 ฟรุตเค้กยุคเรเนซองส์ ในอิตาลีมีเค้กที่ใส่ผลไม้แห้งและลูกเกด เรียกว่า แพนโฟร์เต้ (Panforte) แปลว่า Strong Bread ส่วนผสมจากน้ำผึ้งถั่วอัลมอนด์ ฮาเซลนัท ผลไม้แห้ง อบเชย กานพลู และพริกไทยดำ ส่วนผสมเหมือนฟรุตเค้ก เก็บได้นาน จึงกลายเป็นขนมอบคริสต์มาสในอิตาลี

ในเยอรมนีมีสโตเล่นเค้ก (Stollen) บ้างบอกว่าควรเรียกว่า Stollen Bread ซึ่งส่วนผสมคล้ายฟรุตเค้ก แต่เนื้อสัมผัสนุ่มเบากว่า โรยมาร์ซิแพนและน้ำตาลไอซิ่งให้เหมือนโปรยด้วยหิมะ

Light Fruitcake (Cr.Pixabay)

ศตวรรษที่ 18 ก่อนหน้านี้มีข้อห้ามทางศาสนาในบางประเทศในยุโรป โบสถ์แคทอลิกบางแห่งออกกฎห้ามใช้เนย บ้างห้ามกินเนื้อสัตว์และนมในเทศกาลบูชาพระเจ้า แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นกฎข้อห้ามนี้ก็ตกไป จนฟรุตเค้กกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในอังกฤษเรียกว่า Great Cake เพราะยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่ (ก้อนใหญ่) ใส่ส่วนผสมเยอะขึ้น หมักกับเหล้ารัมหรือบรั่นดีให้หอมกรุ่นและเก็บได้นาน

ศตวรรษที่ 19 ยุคทองของฟรุตเค้ก ในอังกฤษเรียกว่า The Victorian Christmas Cake ใส่ผลไม้ที่ทำเป็นลูกกวาด ผิวส้มเชื่อม เชอร์รี่เชื่อม มาร์ซิแพน น้ำตาลไอซิ่งที่ยุคนั้นเรียกว่า รอยัลไอซิ่ง และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย

ส่วนผสมจัดเต็มในฟรุตเค้ก (Cr.pastrychefonline.com)

ยุคนี้ในอเมริกา ฟรุตเค้กจึงต้องยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะมีชาวยุโรปหลากหลายสัญชาติที่เข้าไปตั้งรกรากในอเมริกา ได้แสดงภูมิความรู้วิชาอบขนมไปด้วย แต่ละแห่งมีฟรุตเค้กซิกเนเจอร์ เช่น ฟรุตเค้กทางใต้ของอเมริกาต้องหมักด้วยเหล้ารัมหรือเบอร์เบิ้น บางพื้นที่มีถั่วพีแคนหรือเชอร์รี่เยอะก็ใส่เยอะ

 

อ้างอิง : collinstreet